Abstract:
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมตามแนวคิดเซเฟอร์และการเรียนรู้แบบร่วมมือ และ 2) ศึกษาผลของการใช้โปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมฯ ที่มีต่อความสามารถทางสังคมของเด็กอนุบาล ตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง คือ เด็กอนุบาลชั้นปีที่ 3 โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 12 คน การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การเตรียมการ ขั้นที่ 2 การพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมฯ (ฉบับตั้งต้น) ขั้นที่ 3 การพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมฯ (ฉบับนำร่อง) ขั้นที่ 4 การพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมฯ (ฉบับทดลอง) และขั้นที่ 5 การนำเสนอ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินความสามารถทางสังคมของเด็กอนุบาล ประกอบด้วย 2 ด้าน ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการทำงานร่วมกับผู้อื่น วิเคราะห์ข้อมูลวิจัยโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และค่าขนาดอิทธิพล
ผลการวิจัย มีดังนี้
1) โปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมฯ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสามารถทางสังคมของเด็กอนุบาลชั้นปีที่ 3 ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีความเป็นระบบ จัดสาระและทักษะให้เด็กเรียนรู้อย่างเป็นลำดับจากเรื่องใกล้ตัวไปสู่ไกลตัว และจากทักษะง่ายไปสู่ทักษะที่ซับซ้อนขึ้น ผ่านการทำกิจกรรมกลุ่มแบบคละความสามารถตามบทบาทที่ได้รับมอบหมาย ควบคู่ไปกับการสะท้อนการเรียนรู้และได้รับข้อมูลย้อนกลับ โปรแกรมนี้มีลักษณะเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร จัดในช่วงหลังเลิกเรียน 12 สัปดาห์ ๆ ละ 4 วัน ๆ ละ 30 - 45 นาที มีองค์ประกอบ 7 ข้อ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ ระยะเวลา บริบท สาระ ขั้นตอน และการประเมินผล ประกอบด้วย สาระ 5 เรื่อง ได้แก่ การตระหนักรู้ตนเอง การจัดการตนเอง การตระหนักรู้สังคม ทักษะสัมพันธภาพ และการตัดสินใจอย่างรับผิดชอบ และมีขั้นตอนการจัดกิจกรรม 3 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมพร้อมเรียนรู้ การร่วมมือเรียนรู้ และการสรุปการเรียนรู้
2) หลังการใช้โปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมฯ ค่าเฉลี่ยของความถี่พฤติกรรมความสามารถทางสังคมของเด็กอนุบาลในภาพรวมสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีค่าขนาดอิทธิพลในระดับสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการทำงานร่วมกับผู้อื่น พบว่า ค่าเฉลี่ยของความถี่ของพฤติกรรมความสามารถทางสังคมของเด็กอนุบาลสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีค่าขนาดอิทธิพล เท่ากับ 2.01 แสดงว่า โปรแกรมการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมฯ มีประสิทธิภาพสูงในการส่งเสริมความสามารถทางสังคมของเด็กอนุบาลทั้งภาพรวมและรายด้าน นอกจากนี้ พบว่า โปรแกรมฯ ช่วยส่งเสริมทักษะการสื่อสารและการกล้าแสดงออก ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสร้างสัมพันธภาพและการเจรจาต่อรองในการเล่นหรือทำงานร่วมกันของเด็ก ส่งผลให้ความสามารถทางสังคมในด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่นสูงขึ้นมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล