Abstract:
วัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบตัวแปรทางชีวกลศาสตร์ของการชกหมัดตรงระหว่างการชกหมัดตรงด้วยท่ายืนแบบเท้านำเท้าตามและแบบเท้าขนานกันในนักมวย
วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างคือ นักกีฬามวยไทยและมวยสากลจากค่ายมวยในสังกัดกรุงเทพมหานคร อายุ 17 – 25 ปี น้ำหนัก 52 – 64 กิโลกรัม ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะทำการทดสอบการชกหมักตรงด้วยแรงชกสูงสุด ในรูปแบบการชกทั้ง 4 รูปแบบ ประกอบด้วย 1. การชกด้วยท่ายืนแบบเท้าขนานกันไม่บิดลำตัว 2. การชกด้วยท่ายืนแบบเท้านำเท้าตามไม่บิดลำตัว 3. การชกด้วยท่ายืนแบบเท้าขนานกันบิดลำตัว และ 4. การชกด้วยท่ายืนแบบเท้านำเท้าตามบิดลำตัว โดยเรียงลำดับการชกด้วยวิธีการสุ่ม ซึ่งผู้เข้าร่วมวิจัยจะต้องทำการชกรูปแบบละ 5 ครั้ง ข้อมูลจากการวิจัยจะถูกนำมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแปรทางเดียวแบบวัดซ้ำ (One-way repeated measures ANOVA with post-hoc Bonferroni) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติเท่ากับ .05
ผลการวิจัย แรงชกหมัดตรงที่ได้จากการชกทั้ง 4 รูปแบบ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<.05) โดยสามารถเรียงลำดับของแรงชกได้ดังนี้ 1. การชกด้วยท่ายืนแบบเท้านำเท้าตามบิดลำตัว 2. การชกด้วยท่ายืนแบบเท้าขนานกันบิดลำตัว 3. การชกด้วยท่ายืนแบบเท้านำเท้าตามไม่บิดลำตัว และ 4. การชกด้วยท่ายืนแบบเท้าขนานกันไม่บิดลำตัว จากผลการวิจัยพบว่าการบิดลำตัวมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างแรงชกหมัดตรง
สรุปผลการวิจัย การชกหมัดตรงที่ทรงประสิทธิภาพ มีกลไกการส่งแรงเป็นไปตามหลักการห่วงโซ่คิเนติกส์ ที่กล่าวว่าแรงชกจะเกิดจากการส่งแรงจากข้อเท้าก่อนที่จะถูกส่งผ่านข้อเข่า สะโพก ไหล่ ศอก มือ และส่งไปเป็นแรงชกหมัดตรง โดยมีการหมุนของกระดูกเชิงกรานและการบิดลำตัวเป็นกลไกที่สำคัญในการแรงชกจากรยางค์ส่วนล่างไปยังรยางค์ส่วนบน