Abstract:
ช่วงต้นของการออกตัว เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการปีนหน้าผาประเภทความเร็วที่ความสูง 15 เมตร เนื่องจากเป็นช่วงที่นักกีฬาสามารถทำความเร็วในการปีนหน้าผาได้ 75-100% ของความเร็วสูงสุดที่ใช้ในการปีน ส่งผลให้ความเร็วในช่วงต่อไปเพิ่มมากขึ้น การปีนในช่วงต้นนี้พบได้ 2 รูปแบบคือ การปีนหน้าผาแบบคลาสสิก สตาร์ท และแบบโทโมอะ สคิป อย่างไรก็ตาม ยังขาดข้อมูลทางด้านคิเนมาติกส์และการทำงานของกล้ามเนื้อการปีนทั้ง 2 รูปแบบนี้ ดังนั้น งานวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ และเปรียบเทียบข้อมูลทางคิเนมาติกส์ และคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อของการปีนหน้าผาช่วงต้นของการออกตัวประเภทความเร็วระยะทาง 15 เมตร แบบคลาสสิก สตาร์ท และแบบโทโมอะ สคิป ในนักกีฬาปีนหน้าผาทีมชาติไทย ผู้เข้าร่วมวิจัยเป็นนักกีฬาปีนหน้าผาประเภทความเร็ว ทีมชาติไทยชุดใหญ่ เพศชาย ที่กำลังเก็บตัวเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนบีชเกมส์ 2021 ครั้งที่ 6 ณ เมืองซานย่า ประเทศจีน อายุระหว่าง 18 – 25 ปี จำนวน 7 คน การเคลื่อนไหวแบบ 3 มิติถูกบันทึกภาพจากมาร์คเกอร์จำนวน 14 ตำแหน่ง และสัญญาณไฟฟ้ากล้ามเนื้อ ถูกบันทึกจากกล้ามเนื้อของรยางค์บนและล่าง ข้างซ้ายและข้างขวา จำนวน 14 มัด ในผู้เข้าร่วมวิจัยขณะทำการปีนหน้าผาด้วยความเร็วสูงสุด ทั้งหมด 6 ครั้ง โดยใช้การปีนช่วงต้นแบบคลาสสิก สตาร์ท จำนวน 3 ครั้ง และแบบโทโมอะ สคิป จำนวน 3 ครั้ง แต่ละครั้งเว้นระยะห่าง 5 นาที และพักระหว่างรูปแบบของการปีนเป็นเวลา 10 นาที ข้อมูลจากการปีนครั้งที่มีความเร็วสูงสุดของแต่ละรูปแบบจะถูกนำมาเปรียบเทียบระหว่างการปีน 2 รูปแบบ ความเร็วในการเคลื่อนที่เชิงเส้นและเชิงมุม องศาการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ ข้อศอก ข้อสะโพก ข้อเข่า และลำตัว การเคลื่อนที่ของจุดศูนย์กลางมวล ค่าการหดตัวของกล้ามเนื้อสูงสุด พื้นที่ใต้กราฟของคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อในช่วงขณะที่มีการเคลื่อนไหว เวลาในการเพิ่มความต่างศักย์ถึงค่าสูงสุด และอัตราการเพิ่มความต่างศักย์ของคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ ถูกเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ ทีรายคู่ (Paired t-test) โดยกำหนดค่านัยสำคัญที่ .05 รวมทั้งนำค่าความต่างศักย์ของกล้ามเนื้อทั้ง 14 มัด ของการปีน 3 ครั้งในแต่ละรูปแบบ วิเคราะห์กล้ามเนื้อหลักในการทำงานของกล้ามเนื้อ (Muscle synergist) โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Linear Regression) แบบแบคเวิร์ด (Backward)
ผลการวิจัยพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ของระยะเวลาของช่วงการเคลื่อนไหวจากตัวจับที่ 3 ไปตัวจับที่ 5 ความเร็วในการปีน ระยะเวลาในการปีน 15 เมตร ความเร็วเชิงเส้นของข้อไหล่, ข้อศอก, ข้อสะโพก และข้อเข่า มุมการเคลื่อนไหวของข้อไหล่, ข้อศอก, ข้อสะโพก และข้อเข่า ความเร็วเชิงมุมของข้อไหล่, ข้อศอก, ข้อสะโพก และข้อเข่า พื้นที่ใต้กราฟของคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อในช่วงขณะที่มีการเคลื่อนไหว และเวลาในการเพิ่มความต่างศักย์ถึงค่าสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการปีนหน้าผาแบบคลาสสิก สตาร์ท และแบบโทโมอะ สคิป ในขณะที่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ของค่าการหดตัวของกล้ามเนื้อสูงสุด และอัตราการเพิ่มความต่างศักย์ของคลื่นไฟฟ้า และพบว่ากล้ามเนื้อที่มีอิทธิพลในการปีนหน้าผาแบบโทโมอะ สคิป สูงสุดคือกล้ามเนื้อแกสตรอคนีเมียส ในขณะที่กล้ามเนื้อวาสตัส แลเธอรัลลิส เป็นกล้ามเนื้อที่มีอิทธิพลในการปีนหน้าผาแบบคลาสสิก สตาร์ทช่วงตัวจับที่ 3 ถึงถึงตัวจับที่ 5 สูงที่สุด
สรุปผลการวิจัย การปีนหน้าผาแบบโทโมอะ สคิปส่งผลให้นักกีฬาสามารถปีนได้เร็วกว่าแบบคลาสสิก สตาร์ท อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีการเคลื่อนที่ของข้อไหล่ กับข้อศอกที่เร็วกว่า มีการเคลื่อนที่ไปทางด้านข้างของลำตัวน้อยกว่า จึงสามารถเคลื่อนที่ขึ้นในแนวดิ่งได้เร็วกว่า โดยผลจากการวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ พบความต่างศักย์สูงสุดของกล้ามเนื้อแกสตรอคนีเมียสร่วมกับกล้ามเนื้อวาสตัส แลเธอรัลลิส ที่มากกว่า และมีพื้นที่ใต้กราฟของคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อแลทิสสิมัส ดอไซด์สูงสุดเมื่อเทียบจากกล้ามเนื้อทั้ง 14 มัด และผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณพบว่า กล้ามเนื้อแกสตรอคนีเมียส มีอิทธิพลสูงสุดขณะปีนแบบโทโมอะ สคิป ขณะที่กล้ามเนื้อวาสตัส แลเธอรัลลิสข้างซ้ายมีอิทธิพลสูงสุดของการปีนแบบคลาสิก สตาร์ท