dc.contributor.advisor |
Chutima Trairatvorakul |
|
dc.contributor.author |
Yart-ruetai Kosakul |
|
dc.contributor.other |
Chulalongkorn University. Faculty of Dentistry |
|
dc.date.accessioned |
2023-08-04T06:01:19Z |
|
dc.date.available |
2023-08-04T06:01:19Z |
|
dc.date.issued |
2016 |
|
dc.identifier.uri |
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/82421 |
|
dc.description |
Thesis (M.Sc.)--Chulalongkorn University, 2016 |
|
dc.description.abstract |
Objective: This study aims to investigate an adaptation of acid production of S. mutans to long-term exposure to human breast milk (HBM).
Materials and Methods: S. mutans UA 159 were grown in pooled HBM from 11 mothers. To create the adaptation condition, S. mutans were sub-cultured up to the 15th passage (11 hours/passage) in HBM, BHI supplemented HBM (HBM+BHI) and BHI control. The bacterial cells were collected at the baseline (the 0 passage), the 1st, 5th, 9th, 13th and 15th passage to immediately determine the acid production and growth in HBM and 7% sucrose supplemented BHI (BHI+Sucrose). The pH and the number of bacteria were measured every hour for 6 hours and after 12 hours of incubation. The acid production rate was calculated at the fastest pH-dropping duration.
Results: The acid production in HBM and in BHI+Sucrose of S. mutans was changed after exposure to all three media for 11 hours (the 1 passage). The acid production in HBM of HBM and HBM+BHI grown cells reached the critical pH of enamel after 2-3 hours which was faster than the baseline HBM (4 hours). The acid production rate in HBM and in BHI+Sucrose of all tested group was not significant difference. Moreover, the longer period of exposure was performed; there was not obvious discrepancy of acid production among the 1st through the 15th passage.
Conclusion: After exposure to HBM, S. mutans increase its ability to utilize HBM leading to the shorter time to reach critical pH than its usual condition. |
|
dc.description.abstractalternative |
วัตถุประสงค์ การศึกษานี้มีขึ้นเพื่อศึกษาการปรับตัวในการผลิตกรดของเชื้อสเตรปโตคอคคัส มิวแทนส์ ภายหลังจากการเพาะเลี้ยงในนมแม่เป็นระยะเป็นเวลานาน
วิธีวิจัย เชื้อสเตรปโตคอคคัส มิวแทนส์ ถูกเพาะเลี้ยงในนมแม่จากมารดาจำนวน 11 ราย เพื่อสร้างสภาวะในการปรับตัว เชื้อจะถูกเพาะเลี้ยงเป็นเวลา 15 รอบ (11 ชั่วโมงต่อ 1 รอบ) ในนมแม่ นมแม่ผสมอาหารเลี้ยงเชื้อบีเอชไอ และ อาหารเลี้ยงเชื้อบีเอชไอ(กลุ่มควบคุม) เก็บเชื้อรอบที่ 0 1 5 9 13 และ 15 จากนั้นนำเชื้อมาวัดการผลิตกรดและการเจริญเติบโตทันทีในนมแม่และในอาหารเลี้ยงเชื้อบีเอชไอผสมน้ำตาลซูโครสร้อยละ 7 ทำการวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง และจำนวนเชื้อ ทุกๆ 1 ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 6 ชั่วโมง และที่ 12 ชั่วโมง และคำนวณอัตราการผลิตกรดในช่วงที่มีการลดลงของค่าความเป็นกรด-ด่างมากที่สุด
ผลการทดลอง การผลิตกรดในนมแม่ และในอาหารเลี้ยงเชื้อบีเอชไอผสมน้ำตาลซูโครสร้อยละ 7 ของเชื้อสเตรปโตคอคคัส มิวแทนส์ มีการเปลี่ยนแปลงไปภายหลังเชื้อถูกเลี้ยงในอาหารทั้ง 3 ชนิด เป็นระยะเวลา 11 ชั่วโมง (1 รอบ) การผลิตกรดในนมแม่จากเชื้อที่ถูกเลี้ยงในนมแม่และในนมแม่ผสมอาหารเลี้ยงเชื้อบีเอชไอ สามารถทำให้ค่าความเป็นกรด-ด่างลดลงต่ำกว่าค่าความเป็นกรด-ด่างวิกฤตของเคลือบฟันภายใน 2-3 ชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าการผลิตกรดในนมแม่จากเชื้อรอบที่ 0 ที่ใช้เวลา 4 ชั่วโมง อัตราการผลิตกรดในนมแม่และในอาหารเลี้ยงเชื้อบีเอชไอผสมน้ำตาลซูโครสร้อยละ 7 ไม่มีความแตกต่างกันในทุกกลุ่มการทดลอง นอกจากนี้การเพาะเลี้ยงเป็นระยะเวลานานขึ้น ไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการผลิตกรดในรอบที่ 1 ถึงรอบที่ 15
สรุปผลการศึกษา ภายหลังการเพาะเลี้ยงในนมแม่ เชื้อสเตรปโตคอคคัส มิวแทนส์ สามารถใช้นมแม่ได้ดีขึ้น นำไปสู่เวลาที่สั้นกว่าสภาวะปกติในการไปถึงค่ากรด-ด่างวิกฤต |
|
dc.language.iso |
en |
|
dc.publisher |
Chulalongkorn University |
|
dc.relation.uri |
http://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2016.1745 |
|
dc.rights |
Chulalongkorn University |
|
dc.title |
Acid production rate of streptococcus mutans after adaptation in human breast milk |
|
dc.title.alternative |
อัตราการผลิตกรดของเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส มิวแทนส์ภายหลังจากการปรับตัวในนมแม่ |
|
dc.type |
Thesis |
|
dc.degree.name |
Master of Science |
|
dc.degree.level |
Master's Degree |
|
dc.degree.discipline |
Pediatric Dentistry |
|
dc.degree.grantor |
Chulalongkorn University |
|
dc.identifier.DOI |
10.58837/CHULA.THE.2016.1745 |
|