dc.contributor.advisor |
Piyasan Praserthdam |
|
dc.contributor.advisor |
Supareak Praserthdam |
|
dc.contributor.author |
Kanokpon Maungthong |
|
dc.contributor.other |
Chulalongkorn University. Faculty of Engineering |
|
dc.date.accessioned |
2023-08-04T07:35:27Z |
|
dc.date.available |
2023-08-04T07:35:27Z |
|
dc.date.issued |
2019 |
|
dc.identifier.uri |
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/83038 |
|
dc.description |
Thesis (M.Eng.)--Chulalongkorn University, 2019 |
|
dc.description.abstract |
To eliminate some drawback of heterogeneous catalysts as a low stability, the deactivation scheme and surface regeneration of TiO2 (P25), TS-1 and γ-Al2O3 catalysts was investigated on the liquid-phase methyl oleate epoxidation reaction at 50 ºC. Based on the results, there are two deactivation effects illustrated on the surface after the reaction: (1) the fouling effects are found the main deactivation on this reaction. There are three types which type 1 is found in P25 and γ-Al2O3, type 2 is uncovered in TS–1 and γ-Al2O3, and type 3 is appeared in γ-Al2O3 only. The FT-IR reveals that are alkane (C–H) and alcohol groups (O–H) as a type 1, α,β–unsaturated ketone (C=O) and alkane groups (C–H) as a type 2, and stretching ester (C=O) and alkane groups (C–H) as a type 3, (2) the loss of active species due to the oxygen vacancy forming after the reaction and the leaching effect. Furthermore, the percentage of lower MO conversion of γ-Al2O3 is higher than P25 and TS-1 because the obtained fouling on the γ-Al2O3 surface is stronger adsorption than P25 and TS-1. For this reason, the fouling deposits on P25 and TS-1 were eliminated completely at 550 ºC, but not for γ-Al2O3 (700 ºC). The OV sites provide the defects on the surface which the MO conversion cannot return back to the conversion of fresh catalyst. |
|
dc.description.abstractalternative |
เพื่อกำจัดข้อเสียบางประการของตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดวิวิธพันธ์นั่นคือ ความสามารถในการฟื้นสภาพและนำกลับมาใช้ใหม่ที่ต่ำ ดังนั้นการเสื่อมสภาพบนตัวเร่งปฏิกิริยากลุ่มไทเทเนียมและแกมมาอลูมินาสำหรับปฏิกิริยาอีพอกซิเดชันของเมทิลโอลิเอตในวัฏภาคของเหลวที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสจึงนำมาศึกษา จากผลการทดลองพบว่า การเสื่อมสภาพบนตัวเร่งปฏิกิริยากลุ่มไทเทเนียมและแกมมาอลูมินาเกิดขึ้นได้ 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 คือการเกิดตะกรันบนตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งเป็นการเสื่อมหลักของปฏิกิริยานี้ซึ่งพบว่า มี 3 ชนิด ชนิดที่ 1 ถูกพบใน ไทเทเนียมไดออกไซค์และแกมมาอลูมินา ชนิดที่ 2 ไม่ถูกพบในไทเทโนซิลิเกตและแกมมาอลูมินา ชนิดที่ 3 ถูกพบในแกมมาอลูมินาเท่านั้น จากผลของเทคนิคอินฟราเรดสเปคโตรสโคปีเปิดเผยว่า ตะกรันชนิดที่ 1 เป็นแบบหมู่ฟังก์ชันแอลเคนและแอลกอฮอล์ ตะกรันชนิดที่ 2 เป็นแบบหมู่ฟังก์ชันแอลฟา-เบต้าคีโตนที่ไม่อิ่มตัวและแอลเคน ตะกรันชนิดที่ 3 เป็นแบบหมู่ฟังก์ชันเอสเทอร์และแอลเคน สำหรับการเสื่อมสภาพแบบที่ 2 คือ การสูญเสียส่วนที่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเนื่องจากการเกิดช่องว่างของโมเลกุลออกซิเจนบนพื้นผิวตัวเร่งและการชะละลายของโลหะเนื่องจากตรวจพบปริมาณไทเทเนียมและอลูมินาในตัวอย่างหลังจากเกิดปฏิกิริยา นอกจากนี้อัตราการเสื่อมสภาพของแกมมาอลูมินามีค่าสูงกว่าตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดไทเทเนียมไดออกไซค์และไทเทโนซิลิเกต เพราะ ตะกรันที่เกิดบนแกมมาอลูมินานั้นมีแรงยึดเกาะบนตัวเร่งปฏิกิริยามากกว่าตัวอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ตะกรันบนตัวเร่งปฏิกิริยาไทเทเนียมไดออกไซค์และไทเทโนซิลิเกตจะถูกกำจัดออกโดยการเผาด้วยอากาศที่อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส แต่ไม่ใช่กับแกมมาอลูมินาต้องใช้อุณหภูมิในการเผาถึง 700 องศาเซลเซียส การเกิดช่องว่างของออกซิเจนเป็นสาเหตุที่ทำให้ความสามารถในการฟื้นสภาพและนำกลับมาใช้ใหม่ต่ำลงหลังจากฟื้นฟูสภาพด้วยการเผาแล้ว |
|
dc.language.iso |
en |
|
dc.publisher |
Chulalongkorn University |
|
dc.relation.uri |
http://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2019.63 |
|
dc.rights |
Chulalongkorn University |
|
dc.title |
Deactivation of Ti-based and γ-Al2O3 catalysts in liquid-phase methyl oleate epoxidation reaction |
|
dc.title.alternative |
การเสื่อมสภาพบนตัวเร่งปฏิกิริยากลุ่มไทเทเนียมเเละเเกมมาอลูมินาสำหรับปฏิกิริยาอิพอกซิเดชันของเมทิลโอลิเอตในสภาวะของเหลว |
|
dc.type |
Thesis |
|
dc.degree.name |
Master of Engineering |
|
dc.degree.level |
Master's Degree |
|
dc.degree.discipline |
Chemical Engineering |
|
dc.degree.grantor |
Chulalongkorn University |
|
dc.identifier.DOI |
10.58837/CHULA.THE.2019.63 |
|