Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการออกกำลังกายที่แตกต่างกัน (การฝึกออกกำลังกายที่ระดับความหนักปาน กลางต่อเนื่อง การฝึกออกกำลังกายแบบหนักสลับช่วง และการฝึกกล้ามเนื้อหายใจ) ที่มีต่อดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่วและภาวะเครียดออกซิเดชันใน ผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น อายุ 20-50 ปี เพศชายและหญิง จำนวน 39 คน ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ได้รับการฝึกออกกำลังกายที่ระดับความหนักปานกลางต่อเนื่อง (MICT) จำนวน 9 คน กลุ่มที่ 2 ได้รับการฝึกออกกำลังกายแบบหนักสลับ ช่วง (HIIT) จำนวน 10 คน กลุ่มที่ 3 ได้รับการฝึกกล้ามเนื้อหายใจ (IMT) 10 คน และกลุ่มที่ 4 กลุ่มควบคุม (CON) จำนวน 10 คน ทำการฝึก 3 วัน/สัปดาห์ เป็นเวลา 12 สัปดาห์สำหรับกลุ่ม MICT และ HIIT ส่วนกลุ่ม IMT ทำการฝึก 5 วัน/สัปดาห์ เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ก่อนและหลังการทดลองทำการทดสอบ ข้อมูลทางสรีรวิทยา ตัวแปรด้านการหลับ ตัวแปรด้านภาวะเครียดออกซิเดชัน ตัวแปรด้านไซโตไคน์ ตัวแปรด้านสมรรถภาพปอด ตัวแปรด้านความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อหายใจ ตัวแปรด้านการอักเสบภายในทางเดินหายใจ ตัวแปรด้านความสามารถทางแอโรบิก และตัวแปรด้านคุณภาพชีวิต จากนั้นนำผลมาวิเคราะห์ สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบผสมที่ระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง 12 สัปดาห์ กลุ่ม HIIT มีค่าเฉลี่ยมวลไขมัน เปอร์เซ็นต์ไขมัน ความโลหิตขณะหัวใจบีบตัว ระยะ หลับที่ไม่มีตากระตุกขั้นที่ 2 ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่ว ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่วระยะหลับที่ไม่มีตากระตุก ดัชนีการหยุดหายใจและ หายใจแผ่วระยะหลับที่มีตากระตุก ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่วขณะนอนหงาย ดัชนีการหายใจแผ่ว มาลอนไดอัลดีไฮด์ อินเตอร์เฟอรอนอินดิวซ์โปรตีน เท็น สัดส่วนของไนตริกออกไซด์ขณะหายใจออก คะแนนแบบสอบถาม ESS, PSQI ลดลง (p<.05) มีค่าเฉลี่ยระยะหลับที่ไม่มีตากระตุกขั้นที่ 3 ซูเปอร์ ออกไซด์ ดิสมิวเทส อินเตอร์ลิวคินวันแอนตาโกนิสต์รีเซ็ปเตอร์ ปริมาตรสูงสุดของอากาศที่หายใจออกอย่างเร็วและแรงเต็มที่ ปริมาตรของอากาศที่ถูกขับออก ในวินาทีแรกของการหายใจออกอย่างเร็วและแรงเต็มที่ อัตราการไหลของอากาศหายใจออกที่สูงที่สุด ปริมาตรของอากาศจากการหายใจเข้า-ออกเต็มที่ในเวลา 1 นาที แรงดันหายใจเข้าสูงสุด แรงดันหายใจออกสูงสุด สมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด และคะแนนแบบสอบถาม FOSQ-30, SF-36 เพิ่มขึ้น (p<0.05) ส่วนกลุ่ม MICT พบว่า ระยะหลับที่ไม่มีตากระตุกขั้นที่ 2 ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่ว ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่วระยะหลับที่ไม่มีตากระตุก ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่วระยะหลับที่มีตากระตุก ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่วขณะนอนหงาย ดัชนีการหายใจแผ่ว สัดส่วนของไนตริกออก ไซด์ในลมหายใจออก คะแนนแบบสอบถาม ESS, PSQI ลดลง (p<.05) มีค่าเฉลี่ยระยะหลับที่ไม่มีตากระตุกขั้นที่ 3 อินเตอร์ลิวคินวันแอนตาโกนิสต์รีเซ็ปเตอร์ ปริมาตรสูงสุดของอากาศที่หายใจออกอย่างเร็วและแรงเต็มที่ ปริมาตรของอากาศจากการหายใจเข้า-ออกเต็มที่ในเวลา 1 นาที แรงดันหายใจเข้าสูงสุด แรงดัน หายใจออกสูงสุด สมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด และคะแนนแบบสอบถาม FOSQ-30, SF-36 เพิ่มขึ้น (p<0.05) และกลุ่ม IMT พบว่า ค่าเฉลี่ยตัวแปรดัชนี การหยุดหายใจและหายใจแผ่ว ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่วระยะหลับที่ไม่มีตากระตุก ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่วขณะนอนหงาย ดัชนีการ หายใจแผ่ว สัดส่วนของไนตริกออกไซด์ในลมหายใจออก คะแนนแบบสอบถาม ESS, PSQI ลดลง (p<.05) มีค่าเฉลี่ยอินเตอร์ลิวคินวันแอนตาโกนิสต์รีเซ็ปเตอร์ ปริมาตรสูงสุดของอากาศที่หายใจออกอย่างเร็วและแรงเต็มที่ อัตราการไหลของอากาศหายใจออกที่สูงที่สุด ปริมาตรของอากาศจากการหายใจเข้า-ออกเต็มที่ ในเวลา 1 นาที แรงดันหายใจเข้าสูงสุด แรงดันหายใจออกสูงสุด และคะแนนแบบสอบถาม FOSQ-30, SF-36 เพิ่มขึ้น (p<0.05) นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างกลุ่ม พบว่ากลุ่ม MICT และกลุ่ม HIIT มีค่าเฉลี่ยตัวแปรดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่ว และดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่วระยะหลับที่ไม่มีตา กระตุกแตกต่างกับกลุ่ม CON และกลุ่ม HIIT มีค่าเฉลี่ยปริมาตรสูงสุดของอากาศที่หายใจออกอย่างเร็วและแรงเต็มที่กับกลุ่มควบคุม ค่าเฉลี่ยสมรรถภาพการใช้ ออกซิเจนสูงสุดเพิ่มขึ้นแตกต่างกับกลุ่ม IMT และกลุ่ม CON และยังมีคะแนนค่าเฉลี่ยแบบสอบถาม SF-36 เพิ่มขึ้นแตกต่างจากกลุ่ม CON (p<.05) สรุปได้ว่า การออกกำลังกายทุกรูปแบบ (MICT, HIIT, IMT) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ส่งผลดีต่ออาการของผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะ หลับจากการอุดกั้น นอกจากนี้ การฝึกออกกำลังกายแบบหนักสลับช่วง (HIIT) ยังส่งผลดีต่อภาวะเครียดออกซิเดชันและไซโตไคน์ต่อผู้ป่วยอีกด้วย