Abstract:
ชุมชนแออัดเป็นปัญหาใหญ่สำหรับกรุงเทพมหานคร ภาครัฐได้ตระหนักถึงความสำคัญ และได้มีการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเพื่อให้มีความมั่นคงในการอยู่อาศัย และมีสภาพที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น การเคหะแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยมีการพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหาหลายรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของแต่ละชุมชน วิธีการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาคือการประสานประโยชน์ทางที่ดิน ชุมชนเซ่งกี่เป็นชุมชนหนึ่งที่ได้นำวิธีการประสานประโยชน์ทางที่ดินมาใช้ในการพัฒนาชุมชน โดยหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่สนับสนุน และช่วยเหลือชาวชุมชนเซ่งกี่ในการดำเนินกระบวนการ คือ ศูนย์วิชาการที่อยู่อาศัยฯ การเคหะแห่งชาติ ได้ดำเนินการโครงการในลักษณะของงานวิจัยเชิงปฏิบัติการได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากชุมชนอื่นๆ มาใช้เพื่อหารูปแบบการพัฒนาชุมชนที่ไม่เป็นทางการมาสู่ระบบที่เป็นทางการ โดยมีแนวคิดที่พยายามแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดซึ่งไม่มีการจัดระเบียบให้เป็นการพัฒนาที่มั่นคง มีการจัดการโดยองค์กรของ ชุมชน คือ สหกรณ์เคหสถานชุมชนเซ่งกี่ ซึ่งเป็นสหกรณ์เคหสถานชุมชนผู้มีรายได้น้อยแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นต้นแบบของชุมชนผู้มีรายได้น้อยอื่นๆ ในการดำเนินโครงการชุมชนเซ่งกี่มีการจัดระบบกลุ่มของผู้อยู่อาศัยทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ผ่านกระบวนการพัฒนาที่อยู่อาศัย ในการดำเนินการคำนึงถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชาวชุมชน และเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยจากชาวชุมชนเป็นหลัก โครงการชุมชนเซ่งกี่ได้รับการยกย่องให้เป็นโครงการตัวอย่างในปีเพื่อผู้ไร้ที่อยู่อาศัยสากลขององค์การสหประชาชาติ ในปี พ.ศ. 2530 การวิจัยในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการใช้กระบวนการการประสานประโยชน์ทางที่ดินในชุมชนเซ่งกี่ และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ และปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ การศึกษาครั้งนี้ครอบคลุมการดำเนินการ 3 ช่วงเวลา คือ ช่วงที่ 1) ก่อนเริ่มกระบวนการการประสานประโยชน์ทางที่ดิน พ.ศ. 2521-2529 ช่วงที่ 2) ระหว่างการดำเนินกระบวนการฯ พ.ศ. 2529-2535 และในช่วงที่ 3) หลังการดำเนินกระบวนการฯ นับถึงปัจจุบัน วิธีการเก็บข้อมูลได้ดำเนินการ 2 วิธีการ คือ การรวบรวมเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด และการสัมภาษณ์บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งประกอบด้วยชาวชุมชนเซ่งกี่ เจ้าของที่ดิน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ผลการศึกษาพบว่ากระบวนการการประสานประโยชน์ทางที่ดินชุมชนเซ่งกี่สามารถแบ่งได้เป็น 12 ขั้นตอน มีผู้เกี่ยวข้องหลัก 5 ฝ่าย ได้แก่ ผู้อยู่อาศัยในชุมชนเซ่งกี่ สนง. จัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน การเคหะแห่งชาติ สนง. เขตยานนาวา และกรมส่งเสริมสหกรณ์ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่นๆ เข้ามาสนับสนุนในขั้นตอนต่างๆ เช่น หน่วยงานจากต่างประเทศ กรมที่ดิน และสถาบันการเงิน จากการศึกษาพบว่าปัจจัยสำคัยที่ทำให้การดำเนินการได้รับความสำเร็จ ได้แก่ 1)ความเสียสละของเจ้าของที่ดินโดยยอมขายที่ดินบางส่วนให้ชาวชุมชนในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด 2)ความร่วมมือกันของทุกฝ่ายโดยมีชาวชุมชนและตัวแทนของชุมชน คือ สหกรณ์เคหสถานชุมชนเซ่งกี่เป็นผู้ตัดสินใจ รวมทั้งดำเนินการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอน และ 3)การได้รับความสนับสนุน และช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงาน ได้แก่ 1)กระบวนการการประสานประโยชน์ทางที่ดินในลักษณะที่ให้ชาวชุมชนมีส่วนร่วมเป็นแกนหลักในการตัดสินใจ และดำเนินงานในทุกขั้นตอน โดยหน่วยงานของรัฐมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุน ตลอดจนลักษณะของการทำงานร่วมกันระหว่างชาวชุมชน เจ้าของที่ดิน และหน่วยงานต่างๆ ในลักษณะที่ยังไม่เคยได้เกิดขึ้นมาก่อนทำให้ไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ ปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการได้ 2)ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ เช่น การพิจารณาสิทธิ์ การเลือกแปลงที่ดิน และการกำหนดราคาที่ดินในแต่ละแปลง เป็นผลให้ระยะเวลาในการดำเนินโครงการนานกว่าการดำเนินโครงการในลักษณะอื่น ผลสำเร็จที่สำคัญของกระบวนการนี้คือ สามารถทำให้ชาวชุมชนเรียนรู้ และบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ภายในชุมชนได้ด้วยตนเอง จึงเป็นการพิสูจน์ว่ากระบวนการการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในลักษณะนี้น่าจะเป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน สามารถนำไปเป็นกรณีศึกษา และแนวทางในการพิจารณาเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในเมืองได้ในอนาคตต่อไป