การเปรียบเทียบวิธีการต่างๆ ที่ใช้ทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของ ประชากร โดยพิจารณาจากความผิด 3 ชนิด

Abstract

ในการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของประชากรหลายๆ ประชากรว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่นั้น มีระเบียบวิธีในการทดสอบหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งแต่ละวิธีก็มีความยากง่ายและความสะดวกในการนำไปใช้ต่างกัน วิทยานิพนธ์นี้ได้ทำการเปรียบเทียบระเบียบวิธีการต่างๆ ที่ใช้ทดสอบความมีนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินว่า วิธีใดจะให้ผลสรุปแม่นยำและถูกต้องในการทดสอบมากกว่าวิธีอื่นๆ โดยพิจารณาจากความผิดทั้ง 3 ชนิด ที่เกิดขึ้นในการทดสอบแต่ละวิธีว่าวิธีใดมีความผิดเกิดน้อยที่สุด ความผิดทั้ง 3 ชนิดนี้ ได้แก่ ความผิดชนิดที่ 1 (Type I Error) ความผิดชนิดที่ 2 (Type II Error) และความผิดชนิดที่ 3 (Type III Error) ซึ่งเป็นความผิดที่เกิดจากการสรุปผลความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากรตรงข้ามกับความเป็นจริง อันเป็นผลเนื่องจากตัวอย่างที่ใช้ไม่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร ในการศึกษาวิจัยนี้ได้นำข้อมูลจากตารางเลขสุ่ม มาทำการวิเคราะห์ในลักษณะเป็นข้อมูลแจกแจงทางเดียวและข้อมูลแจกแจงสองทาง และทำการทดสอบความมีนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากรโดยใช้ระเบียบวิธีการต่างๆ แล้วนำผลที่ได้จากการทดสอบทั้งหมดทุกวิธีมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งผลที่ได้จากการวิจัยสามารถสรุปได้ว่า ในการทดสอบความมีนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากร 2 ประชากร วิธีของ Murphys gap LSD สามารถให้ผลสรุปหรือผลการทดสอบที่เชื่อถือได้ดีกว่าวิธีอื่น ทั้งยังเป็นวิธีที่มีความสะดวกในการนำไปใช้พอสมควรอีกด้วย สำหรับในกรณีที่ผู้วิเคราะห์มีเวลาจำกัด และต้องการความรวดเร็วหรือต้องการทราบผลอย่างคร่าวๆ ในการทดสอบความมีนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากรคู่ใดๆ วิธีทดสอบโดยใช้ Least Significant Difference (LSD), Tukey’s W-Procedure และ Scheffe’s method เป็นวิธีที่มีความสะดวกและง่ายในการนำไปใช้ เพราะเป็นการคำนวณค่าสถิติ (statistic) เพียงค่าเดียวในการใช้เป็นตัวตัดสินความมีนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากร 2 ประชากรใดๆ แต่จากผลที่ได้จากการวิจัยนี้สามารถสรุปได้ว่า โดยทั่วๆ ไปวิธีของ Least Significant Difference test ให้ผลสรุปหรือผลการทดสอบที่น่าเชื่อถือได้ดีกว่าอีก 2 วิธีที่กล่าวแล้ว