Please use this identifier to cite or link to this item:
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/60092
Title: | การศึกษาวิธีการแสดงในละครเวทีประสาทสัมผัสสำหรับผู้ชมวัยเด็กที่มีภาวะออทิซึม |
Other Titles: | A STUDY OF ACTING METHODS IN SENSORY THEATRE FOR YOUNG AUDIENCE WITH AUTISM |
Authors: | ชนัตถ์ พงษ์พานิช |
Advisors: | พรรัตน์ ดำรุง |
Other author: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะอักษรศาสตร์ |
Advisor's Email: | Pornrat.D@Chula.ac.th,dpornrat@hotmail.com |
Issue Date: | 2560 |
Publisher: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract: | งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์วิธีการแสดงของนักแสดงในละครเวทีประสาทสัมผัสที่เหมาะสมและสามารถเพิ่มปฏิสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างผู้ชมวัยเด็กที่มีภาวะออทิซึมกับนักแสดงได้ เนื่องจากละครลักษณะนี้ยังไม่เคยมีผู้ใดพัฒนามาก่อนในประเทศไทย ผู้วิจัยจึงต้องออกแบบและคิดค้นกระบวนการนำเสนอละครเวทีประสาทสัมผัสก่อน จากนั้นจึงคิดค้น พัฒนาวิธีการแสดงในละครเวทีประสาทสัมผัสขึ้นโดยประยุกต์จากเทคนิคการแสดงแบบด้นสดและแนวทางการบำบัดรักษาแบบซันไรส์ ต่อจากนั้นได้นำวิธีการแสดงที่ได้ออกแบบขึ้นมาใช้ทดลองทำงานกับนักแสดง-กระบวนกร 4 คน จัดแสดงจริงกับผู้ชมกลุ่มตัวอย่างที่มีภาวะออทิซึมจำนวน 10 คน ช่วงอายุ 4 – 18 ปี ละครเวทีประสาทสัมผัสในงานวิจัยชิ้นนี้ชื่อว่า “สวนมีสุข” เป็นละครที่ออกแบบให้ผู้ชมที่มีภาวะออทิซึมมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมที่สัมพันธ์กับเรื่องราวและตัวละครในจินตนาการ บทที่ใช้ในการแสดงดัดแปลงมาจากนิทานภาพเรื่องกบแฮรี่ผู้หิวโหย ประกอบกับการเลือกใช้กิจกรรมละครสร้างสรรค์สำหรับเด็ก ผู้วิจัยได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่การแสดงให้เป็นสวนเล็กๆที่มีอยู่ในนิทานภาพ ผู้วิจัยได้สร้างเงื่อนไขและจัดลำดับกิจกรรมให้ผู้ชมกลุ่มตัวอย่างได้ปฏิบัติ เล่นเป็นตัวละคร ร้องเพลง และสำรวจประสาทสัมผัสของตนเองผ่านกิจกรรมต่างๆในโรงละครตามความสนใจ กลุ่มตัวอย่างจะได้ชมละครเวที ความยาว 50 – 60 นาที สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อเนื่อง 4 – 6 สัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์จะพัฒนาเรื่องราวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในการทดลองจัดแสดงแต่ละสัปดาห์ ผู้วิจัยได้นำปัญหาที่พบและการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับวิธีการแสดงที่ได้สังเคราะห์ขึ้นให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลได้แก่ 1) บันทึกการทำงานของผู้วิจัย 2) บันทึกปฏิสัมพันธ์เชิงบวกของผู้ชมขณะชมการแสดง 3) บทสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ปกครองของกลุ่มตัวอย่าง 4) บทสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญด้านละครบำบัดที่ได้ชมวีดีโอบันทึกภาพการแสดง เมื่อได้พัฒนาและปรับปรุงวิธีการแสดงในแต่ละสัปดาห์แล้ว ผู้วิจัยได้เรียนรู้ว่าการเป็นนักแสดงในละครสำหรับผู้ชมที่มีภาวะออทิซึมนั้น นักแสดงจะต้องเข้าใจวิธีการสื่อสารกับผู้ที่มีภาวะออทิซึม เข้าใจลำดับกิจกรรมต่างๆ และเข้าใจบริบทของผู้ชมเป็นอย่างดี นักแสดงจะต้องมีพลังหรือคลื่นความคิด ความรู้สึกภายในที่เข้มข้นแต่แสดงออกอย่างสงบเพื่อลดการกระตุ้นเร้าผู้ชมและช่วยให้ผู้ชมสามารถจดจ่อกับการแสดงได้ นักแสดงต้องอยู่กับปัจจุบันในขณะแสดงและมีสมาธิในการสื่อสารกับผู้ชมในรายบุคคล นักแสดงจะต้องมองเห็น ได้ยิน และรับรู้ผู้ชมอย่างชัดเจนเพื่อจะสามารถสังเกตการสื่อสารทางกายของผู้ชมและสื่อสารตอบกลับได้อย่างเหมาะสม วิธีการแสดงที่ได้พัฒนาขึ้นทำให้เกิดตัวละครที่ให้อิสระและเป็นมิตรกับผู้ชม สร้างความไว้วางใจและสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้ชม ตัวละครจะเป็นแกนนำที่พาผู้ชมไปสู่โลกของจินตนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผลการสังเกตปฏิสัมพันธ์ในโรงละครพบว่า ผู้ชมกลุ่มตัวอย่างมีปฏิสัมพันธ์และพัฒนาการทางสังคมที่ดีขึ้นในหลายกรณี จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองพบว่ามีหลายกรณีที่ผู้ชมแสดงสัญญาณของความสุขและความต้องการชมละคร |
Other Abstract: | This research aims to develop an approach to acting in sensory theatre that will enhance positive interactions between audiences with autism and actor-facilitators. Because sensory theatre for audiences who have autism is new to Thailand, the researcher has had to develop an approach to sensory theatre and to design acting methods which actor-facilitators will be able to use in the future. To do this, the researcher has combined improvisational acting techniques with techniques used in the “son-rise” program as the basic techniques for use by four actor-facilitators. The four used these acting techniques as part of the sensory theatre approach for 10 children with autism, aged 4-18 years. For this research, the sensory theatre environment is referred to as “the garden of joy”. It forms a participatory site for play where audience members engage in various activities that relate to stories and to an imaginary character. The script of the performance is adapted from the fairy tale book Hungry Harry published in 2000 by Joanne Partis. It consisted of a narrated story and associated creative drama activities devised for children. The researcher decorated the performance space like a little garden like that found in the book. The researcher set the participatory conditions and arranged the sequence of the performance. Participating audience members can choose to play a role, to sing, and to explore their own senses through various activities following their preferences, without any guidance. Each audience member took part in the 50 – 60 minute-session once a week over a 4-6 week period. Based on their activities, the story in the play has been gradually modified. The researcher noted acting style problems and gathered expert comments for each performance in order to create a more appropriate acting method for the audience members. The primary resources for analyzing are included in the researcher's work report, along with records of positive interactions of the audience members while they are watching the performance, in-depth interviews with audience members’ parents and the in-depth interviews with the drama therapist. The result of the analysis of this material shows that the actor-facilitators in this performance need to understand modes of communicating with children with autism, to clearly understand the sequence of activities and also to understand the context of audience members. Moreover, the actor-facilitators must maintain an intense energy of thinking and feeling and to present it in a calm and relaxed way, in order not to excite the audience members too much and to help them focus more on the performance. The actor-facilitators must have high levels of awareness, being able to see, hear and be aware of the audience members’ body language and to concentrate on communicating directly with each audience member. The most appropriate acting methods that help characters in the performance were those which are friendly and more flexible, ones which create a safe and trusted environment between audience members and actor-facilitators. The characters gradually draw the audience members into the world of imagination. The records of positive interaction demonstrate that the audiences developed lasting social skills during the process. Their parents pointed out during in-depth interviews that their children show signs of happiness and engage with the show better than before. |
Description: | วิทยานิพนธ์ (อ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560 |
Degree Name: | อักษรศาสตรมหาบัณฑิต |
Degree Level: | ปริญญาโท |
Degree Discipline: | ศิลปการละคร |
URI: | http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/60092 |
URI: | http://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2017.1483 |
metadata.dc.identifier.DOI: | 10.58837/CHULA.THE.2017.1483 |
Type: | Thesis |
Appears in Collections: | Arts - Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
5880336122.pdf | 7.43 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.