การปรับปรุงคุณภาพกระเบื้องหลังคาคอนกรีต

Abstract

วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ จะเป็นการศึกษาถึงแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพ โดยการปรับปรุงส่วนผสมของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีต นอกจากนั้นจะทำการหาแนวทางในการลดต้นทุนในการผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีตด้วย ขั้นตอนในการศึกษา จะกำหนดปัจจัยที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย สัดส่วนปริมาณทรายต่อปูนซีเมนต์ปริมาณของเถ้าลอยต่อน้ำหนักปูนซีเมนต์ที่ใช้ และปริมาณของสารลดปริมาณน้ำต่อปริมาณปูนซีเมนต์ที่ใช้ในการผลิต โดยกำหนดให้สัดส่วนของทรายต่อปริมาณปูนซีเมนต์ที่ใช้ในการศึกษาเท่ากับ 3.6, 3.8และ 4.0 ระดับปริมาณของเถ้าลอยเท่ากับ 0%, 10% และ 20% ต่อน้ำหนักปูนซีเมนต์และระดับปริมาณของสารลดปริมาณน้ำ หรือ Superplasticizer เท่ากับ 0, 0.67 และ 1.50 ลิตรต่อปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์100 กก. จากนั้นทำการผสมวัตถุดิบภายใต้ระดับต่างๆ ของแต่ละปัจจัยเป็นก้อนมอร์ตาร์ (Slab)แล้วนำไปทดสอบความแข็งแรงของก้อนมอร์ตาร์ โดยผลการทดสอบพบว่าการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนการใช้ทรายต่อปูนซีเมนต์ จะส่งผลให้ความแข็งแรงของตัวอย่างลดลง เช่นเดียวกับปริมาณการเพิ่มขึ้นของเถ้าลอยในส่วนผสม จะทำให้ความแข็งแรงของตัวอย่างลดลงเช่นเดียวกัน ในส่วนของ Superplasticizer ถ้าใส่ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น จะช่วยให้ความแข็งแรงของตัวอย่างเพิ่มสูงขึ้น เมื่อทำการทดลองผลิตกระเบื้องในสายการผลิต ก็ให้ความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกัน นอกจากนั้นยังได้ศึกษาถึงผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบที่เกิดขึ้น พบว่าที่ระดับความแข็งแรงของกระเบื้องที่ต้องการปัจจุบัน (ค่า Flexural Strength เท่ากับ 44.35 กก./ตร.ซม.) การใส่Superplasticizer จะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบลงได้ 0.085 บาทต่อแผ่น เมื่อเทียบกับส่วนผสมที่ไม่ได้ใส่ Superplasticizer ในการพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนติดตั้งระบบการใส่ Superplasticizerในส่วนผสม จะพบว่าระยะเวลาในการคุ้มทุนจะเท่ากับ 1.23 ปี แต่ถ้าต้องการให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนในระยะเวลา 1 ปี จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังนี้ 1. ราคาของปูนซีเมนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% ขึ้นไป หรือราคาตั้งแต่ 2,090 บาท ต่อตันขึ้นไป (ราคาปัจจุบันเท่ากับ 1,900 บาทต่อตัน) หรือ 2. ราคาของ Superplasticizer ปรับตัวลดลงตั้งแต่ 8% ขึ้นไป หรือราคาลดลงเหลือ 13.8 บาทต่อลิตรลงมา (ราคาปัจจุบันเท่ากับ 15 บาทต่อลิตร)