Abstract:
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์วิธีการตรวจแก้งานเขียนภาษาอังกฤษที่เหมาะสมที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในการปรับปรุงงานเขียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาและ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบวิธีการตรวจแก้งานเขียนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการพัฒนาการเขียนภาษาอังกฤษทั้งระยะสั้นและระยะยาวของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา กลุ่มพลวิจัยได้มาโดยที่อาจารย์ผู้สอนประจำกลุ่มอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการประกอบด้วยนักศึกษาชั้นปีที่ 1, 2 และ 3 จากมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐบาลและเอกชนจำนวน 8 กลุ่ม รวม 177 คน แบ่งเป็นกลุ่มเก่ง ปานกลาง และอ่อน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามเกี่ยวกับกลวิธีที่นักศึกษาใช้ในการปรับปรุงงานเขียนภาษาอังกฤษภายหลังจากที่ได้รับงานเขียนที่ครูได้ตรวจแก้แล้วและถามความคิดเห็นเกี่ยวกับ วิธีแก้งานแต่ละวิธีซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่าแบบไลเกิร์ตและแบบปลายเปิด หัวข้อที่ให้นักศึกษาเขียนก่อนและหลังการตรวจงานแต่ละวิธีเพื่อศึกษาพัฒนาการระยะสั้นและระยะยาว และเกณฑ์การให้คะแนนงานเขียนของ TOEFL (TWE) และ Cooper การวิเคราะห์แบบสอบถามใช้วิธีการคำนวณหาค่าความถี่และค่าร้อยละ การวิเคราะห์งานเขียนใช้วิธีการคำนวณหาค่ามัชฌิมเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์การกระจาย และทดสอบค่า t (t-test) ส่วนการวิเคราะห์การสัมภาษณ์และสังเกตพฤติกรรมใช้การวิเคราะห์หาแนวโน้มและเขียนสรุป ผลการวิจัยสรุปได้ดังต่อไปนี้ 1. การวิเคราะห์แบบสอบถามพบว่าในด้านกลวิธีปรับปรุงงานเขียนเมื่อผ่านการตรวจแก้ โดยวิธีต่าง ๆ ผู้เรียนส่วนใหญ่ชอบวิธีการตรวจแก้วิธีที่ 1 คือผู้สอนขีดฆ่าและเขียนแก้ไขให้ใหม่ และมีความคิดเห็นว่าวิธีการตรวจแก้งานเขียนที่ดีที่สุดเป็นวิธีที่ 4 คือผู้สอนอธิบายที่ผิดเป็นรายบุคคล 2. การวิเคราะห์การสัมภาษณ์และการสังเกตพฤติกรรมในการเขียน พบว่าวีการตรวจแก้งานวิธีที่ 1 และวิธีที่ 4 ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแก้ไขปรับปรุงงานเขียนได้ดียิ่งขึ้น ส่วนวิธีการตรวจแก้งานวิธีที่ 2 คือผู้สอนขีดเส้นใต้ที่ผิดและนำสิ่งที่ผู้เรียนทำผิดร่วมกันมาอธิบายในชั้นเรียนและวิธีการตรวจแก้งานวิธีที่ 2 คือผู้สอนใช้สัญลักษณ์กำกับที่ผิดและใช้คำอธิบายสัญลักษณ์และตัวอย่างวิธีแก้ไขนั้น พบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงคำอธิบายของครู และไม่เข้าใจสัญลักษณ์ที่ใช้ในการตรวจแก้งานเขียนได้อย่างชัดเจนเพียงพอ 3. การประเมินผลงานเขียนโดยใช้เกณฑ์ตรวจมาตรฐาน พบว่าวิธีการตรวจแก้งานวิธีที่ 1 และวิธีที่ 4 ช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับปรุงงานเขียนทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนวิธีการตรวจแก้วิธีที่ 4 ช่วยให้ผู้เรียนทุกลุ่มมีพัฒนาการในการเขียนทั้งระยะสั้นและระยะยาวในทุกด้าน 4. นักศึกษากลุ่มอ่อนโดยเฉลี่ยมีพัฒนาการสูงกว่ากลุ่มเก่งและกลุ่มปานกลางอีกทั้งมีการกระจายของคะแนนแตกต่างกันมากที่สุด