Please use this identifier to cite or link to this item:
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/36734
Title: | การปรับปรุงประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรในกระบวนการผลิตอิฐทนไฟ |
Other Titles: | The overall effectiveness improvement of machines in refractory brick production process |
Authors: | รัฐกร อุดมสุข |
Advisors: | สมชาย พัวจินดาเนตร |
Other author: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะวิศวกรรมศาสตร์ |
Advisor's Email: | Puajindanetr.Pua@chula.ac.th |
Subjects: | เครื่องจักรกล -- การบำรุงรักษาและการซ่อมแซม การบำรุงรักษาเชิงทวีผลโดยรวม เครื่องมือในการอุตสาหกรรม อิฐทนไฟ การควบคุมคุณภาพ ความเชื่อถือได้ (วิศวกรรมศาสตร์) Machinery -- Maintenance and repair Total productive maintenance Industrial equipment Bricks Quality control Reliability (Engineering) |
Issue Date: | 2553 |
Publisher: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract: | เพิ่มประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรในกระบวนการผลิตของโรงงานผลิตอิฐทนไฟ ดำเนินการศึกษากิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอาการขัดข้องของเครื่องจักร และผลกระทบที่มีต่อกระบวนการผลิตในสายงานวิกฤติ (Critical activity path) ประเมินค่าดัชนีความเสี่ยงชี้นำ (RPN) โดยประยุกต์แนวทางการวิเคราะห์ข้อบกพร่องและผลกระทบ (Failure mode and effects analysis: FMEA) ได้แก่ ระดับความรุนแรง (S) ระดับอัตราการเกิดข้อขัดข้อง (O) และระดับความสามารถการตรวจจับ (D) อาการขัดข้องของเครื่องจักร ประเมินและจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยให้มีการทบทวน การออกแบบการทำงานของชิ้นส่วนใหม่ สำหรับอาการขัดข้องที่มีระดับความรุนแรง และระดับการตรวจจับที่มีค่าสูง ซึ่งมีผลให้ค่าดัชนีความเสี่ยงสูงด้วย นอกจากนี้ ยังได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจติดตามการทำงานของเครื่องจักร เพื่อสามารถประเมินอาการเครื่องจักรก่อนขัดข้อง ผลการศึกษาพบว่า (1) การจัดลำดับความสำคัญของเครื่องจักรในกระบวนการซ่อมบำรุงรักษา สามารถจัดได้ดังนี้ เครื่องอัดขึ้นรูป เครื่องผสม เครื่องชั่ง และเตาเผา ตามลำดับ (2) ระยะเวลาเฉลี่ยก่อนการเสียของเครื่องจักร (MTBF) ในสายงานวิกฤติเพิ่มขึ้นจากเดิม 94:18 ชั่วโมง เป็น 119:48 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 27% (3) ผลจากค่า MTBF ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการเดินเครื่องจักรเพิ่มขึ้น ดังนั้น ค่าประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักร (Overall equipment effectiveness, OEE) ในสายงานวิกฤติ ได้แก่ เครื่องชั่ง เครื่องผสม เครื่องอัดขึ้นรูป และเตาเผา มีค่าเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 89.23% 85.25% 75.33% และ 82.13% ตามลำดับ เป็น 89.69% 88.07% 82.09% และ 86.27% ตามลำดับ |
Other Abstract: | To increase the effectiveness of machines in refractory brick production process. The study was started with studying all related activities of the process, analyzing symptom of machine breakdown affecting to the critical activity path of the production process. The Failure mode and effects analysis (FMEA) was applied. The risk priority number (RPN) of machines was determined by considering the severity (S), occurrence (O), and detection (D). High severity (S) and detection (D) were first priority to improve. Redesigning an existing component for operation improvement and installing monitoring equipment for assessing machine operation before break down were implemented. The results showed that (1) the significant machines for maintenance were as press machine, mixer, weighting machine and kiln, respectively (2) the mean time between failure (MTBF) of machines in production line before improvement was increased from 94:18 Hr to 119:48 Hr or increased by 27%, (3) according to increasing of MTBF that lead to increase machine available time, the overall equipment effectiveness (OEE) of each machines within the critical path such as weighing, mixing, pressing and furnace were increased from 89.23% 85.25% 75.33% and 82.13% to 89.69% 88.07% 82.09% and 86.27%, respectively. |
Description: | วิทยานิพนธ์ (วศ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553 |
Degree Name: | วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต |
Degree Level: | ปริญญาโท |
Degree Discipline: | วิศวกรรมอุตสาหการ |
URI: | http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/36734 |
URI: | http://doi.org/10.14457/CU.the.2010.176 |
metadata.dc.identifier.DOI: | 10.14457/CU.the.2010.176 |
Type: | Thesis |
Appears in Collections: | Eng - Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
rattakorn_ud.pdf | 6.66 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.