Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/68
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorสุภาพรรรณ โคตรจรัส-
dc.contributor.authorวีรนุช วงศ์คงเดช, 2518--
dc.contributor.otherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะจิตวิทยา-
dc.date.accessioned2006-05-27T03:11:26Z-
dc.date.available2006-05-27T03:11:26Z-
dc.date.issued2547-
dc.identifier.isbn9745314307-
dc.identifier.urihttp://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/68-
dc.descriptionวิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547en
dc.description.abstractการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบของการอบรมเลี้ยงดู เจตคติต่อการแสวงหาความช่วยเหลือ และการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และปีที่ 5 ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูที่เด่นชัดตามแนวคิดของ Diana Baumrind จำนวน 739 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสำรวจรูปแบบการอบรมเลี้ยงดู แบบวัดการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง และแบบวัดเจตคติต่อการแสวงหาความช่วยเหลือ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์สถิติพื้นฐาน วิเคราะห์ความแปรปรวนสามทาง และวิเคราะห์เปรียบเทียบพหุคูณด้วยวิธีของ Dunnett’s T3 และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาโดยทั่วไปมีการเรียนรู้แบบกำกับตนเองค่อนข้างสูง และมีเจตคติค่อนข้างบวกต่อการแสวงหาความช่วยเหลือ 2. ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนสามทางของการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง และเจตคติต่อการแสวงหาความช่วยเหลือ จำแนกตามรูปแบบการอบรมเลี้ยงดู เพศระดับชั้นเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีนัยสำคัญ ดังนี้ 2.1 นักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ มีการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง และมีเจตคติทางบวกต่อการแสวงหาความช่วยเหลือสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอีก 3 รูปแบบ นักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบควบคุม และแบบตามใจ มีการเรียนรู้แบบกำกับตนเองสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบทอดทิ้ง ส่วนนักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบตามใจมีเจตคติทางบวกต่อการแสวงหาความช่วยเหลือสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบควบคุม และแบบทอดทิ้ง 2.2 นักเรียนหญิงมีการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง และมีเจตคติทางบวกต่อการแสวงหาความช่วยเหลือสูงกว่านักเรียนชาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีการเรียนรู้แบบกำกับตนเองสูงกว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2.3 นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง มีการเรียนรู้แบบกำกับตนเองสูงกว่านักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลาง และต่ำ และนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลางมีการเรียนรู้แบบกำกับตนเองสูงกว่านักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ 2.4 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 5 และนักเรียนทั้ง 3 ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีเจตคติต่อการแสวงหาความช่วยเหลือไม่แตกต่างกัน 3. การเรียนรู้แบบกำกับตนเอง เจตคติต่อการแสวงหาความช่วยเหลือ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ แต่มีความสัมพันธ์ทางลบกับการเลี้ยงดูอีก 3 รูปแบบen
dc.description.abstractalternativeThe purposes of this study were to investigate the parenting styles, attitudes toward help-seeking and self-regulated learning of secondary school students. Participants were 739 students in Matthayomsuksa 2 and 5 from Bangkok Metropolis, with clearty identifiable parenting styles according to Baumrind’s classificantion. The instruments used were The Parenting Styles Rating Scale, The Self-Regulated Learning Strategies (SRLS), and Student Attitudes Toward Help-Seeking Scale. Data was analyzed using three-way ANOVA design followed by post-hoc multiple comparisons with Dunnett’s T3 test and the Pearson correlation coefficient. The major findings were as follow: 1. The secondary school students reported relatively high level of self regulated learning and had rather positive attitude toward help-seeking. 2. The three-way ANOVA yielded significant effects for students’ parenting styles, gender, grade levels and academic achievement on their self-regulated learning and attitudes toward help-seeking. 2.1 Students from authoritative families reported more self-regulated learning and more positive attitude toward help-seeking than those with other parenting styles. Students from authoritarian and permissive families both reported more self-regulated learning than those from neglectful families. Students from permissive families reported more positive attitude toward help-seeking than those from authoritarian and neglectful families. 2.2 Female students reported more self-regulated learning and more positive attitude toward help-seeking than male students. Students in Mathayomsuksa 5 reported more self-regulated learning than those in Mathayomsuksa 2. 2.3 Students with high academic achievement reported more self-regulated learning than those with moderate and low academic achievement and students with moderate academic achievement reported more self-regulated learning than those with low academic achievement. 2.4 No significant effects for students’ academic achievement and grade levels on their attitudes toward help-seeking were found. 3. Self-regulated learning, attitudes toward help-seeking and academic achievement had positive correlations with authoritative parenting style and had negative correlations with the other three parenting styles.en
dc.format.extent1360050 bytes-
dc.format.mimetypeapplication/pdf-
dc.language.isothen
dc.publisherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen
dc.rightsจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen
dc.subjectนักเรียนมัธยมศึกษาen
dc.subjectเด็ก--การเลี้ยงดูen
dc.subjectการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองen
dc.titleเจตคติต่อการแสวงหาความช่วยเหลือ และการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่มีรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูแตกต่างกันen
dc.title.alternativeAttitudes toward help-seeking and self-regulated learning of secondary school students with different parenting stylesen
dc.typeThesisen
dc.degree.nameศิลปศาสตรมหาบัณฑิตen
dc.degree.levelปริญญาโทen
dc.degree.disciplineจิตวิทยาการปรึกษาen
dc.degree.grantorจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen
dc.email.advisorksupapan@chula.ac.th-
Appears in Collections:Psy - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Weeranuch.pdf1.38 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.