Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/72075
Title: รูปแบบการเริ่มให้ยาวาร์ฟารินแนวทางใหม่ในผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจที่โรงพยาบาลราชวิถี
Other Titles: New dosage regimen for starting warfarin in patients with mechanical prostheticheart valve replacement at Rajavithi Hospital
Authors: รัชนี โหตระวารีกาญจน
Advisors: อัจฉรา อุทิศวรรณกุล
สันต์ ใจยอดศิลป์
Other author: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย
Advisor's Email: ไม่มีข้อมูล
Subjects: ลิ้นหัวใจ -- ศัลยกรรม
วาร์ฟาริน
Heart valves -- Surgery
Warfarin
Issue Date: 2540
Publisher: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract: งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาข้อมูลของผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจรายใหม่ ที่ได้รับยาวาร์ฟารินเพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดจำนวน 100 ราย การจัดรูปแบบใหม่ของการเริ่มยาวาร์ฟารินใช้แนวทางของ Slightly loading dose regimen ผู้ป่วยในกลุ่มทดลองจำนวน 50 ราย และผู้ป่วยในกลุ่มควบคุมจำนวน 50 ราย ได้รับการประเมินผลของการเริ่มยาวาร์ฟารินในแนวทางของ Slightly loading dose regimen ซึ่งเริ่มยาในขนาด 5 มก/วัน เปรียบเทียบกับการเริ่มยาในรูปแบบเดิมซึ่งใช้แนวทางของ Estimate maintenance dose คือเริ่มยาในขนาด 2.5.มก/วัน ผลของการต้านการแข็งตัวของเลือดติดตามจากค่า Prothombin time ซึ่งรายงานอยู่ในรูปของค่า INR ในวันที่ 3,4 และ 5 นับจากวันแรกที่ผู้ป่วยได้รับยา ช่วง INR ที่เหมาะสมต่อการรักษาสำหรับงานวิจัยนี้คือ 2.0 – 3.0 ผู้ป่วยกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ย INR อยู่ในช่วงที่เหมาะสมต่อการรักษาได้ในวันที่ 3 นับจากวันแรกที่รับยาก่อนผู้ป่วยในกลุ่มควบคุมที่มีค่าเฉลี่ย INR อยู่ในช่วงที่เหมาะสมต่อการรักษาได้ในวันที่ 5 นับจากวันแรกที่รับยา เป็นเวลา 2 วัน วันที่ 3 นับจากวันแรกที่รับยา ผู้ป่วยที่มีค่า INR < 2.0 ในกลุ่มทดลองมีจำนวนน้อยกว่า ในกลุ่มควบคุมคือจำนวน 21 ราย (42%) และ 39 ราย (78%) ตามลำดับ (P=0.0201) และผู้ป่วยที่มีค่า INR > 3.0 ในกลุ่มทดลองมีจำนวนมากกว่า ในกลุ่มควบคุมคือจำนวน 15 ราย (30%) และ 3 ราย (6%) ตามลำดับ (p=0.0047) วันที่ 4 นับจากวันแรกที่รับยา ผู้ป่วยกลุ่มทดลองจำนวน 14 ราย (28%) มีค่า INR < 2.0 ซึ่งน้อยกว่าผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่มีจำนวน 31 ราย (62%) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.0113) จำนวนผู้ป่วยที่มีค่า INR อยู่ในช่วง 2.0 -3.0 ในกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุม คือมีผู้ป่วย 14 ราย (/28%) ในวันที่ 3, 23 ราย (46%) ในวันที่ 4, 28 ราย (56%) ในวันที่ 5 นับจากวันแรกที่รับยา ในผู้ป่วยกลุ่มทดลอง และมีผู้ป่วย 8 ราย (16%) ในวันที่ 3,14 ราย (28%) ในวันที่ 4, 18 ราย (36%) ในวันที่ 5 นับจากวันแรกที่รับยา ในผู้ป่วยกลุ่มควบคุม ความแตกต่างนี้ไม่มีนับสำคัญทาวสถิติ อย่างไรก็ตามการเริ่มยาวาร์ฟารินในรูปแบบใหม่สามารถทำให้ค่าเฉลี่ย INR เพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ช่วงที่ความเหมาะสมต่อการรักษาได้รวดเร็วขึ้น แต่ผู้ป่วยบางรายอาจอยู่ในภาวะที่มีค่า INR สูงกว่า 3.0 ได้ในบางครั้ง จากการวิจัยนี้พบว่าในกลุ่มทดลองมีผู้ป่วย 1 ราย เกิดภาวะเลือดออกที่แผลผ่าตัด ส่วนในกลุ่มควบคุมมีผู้ป่วย 2 ราย ที่มีภาวการณ์เกิดลิ่มเลือด จากผลการวิจัยในครั้งนี้ รูปแบบใหม่ของการเริ่มให้ยาวาร์ฟารินควรได้รับการปรับปรุงให้มีขนาด เริ่มต้นของยาวาร์ฟารินที่ลดลง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะที่ผู้ป่วยมีค่า INR > 3.0 ซึ่งสามารถก่อให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกเพิ่มขึ้นได้
Other Abstract: The newly one hundred mechanical prosthetic heart valve replacement patients undergoing anticoagulant therapy with warfarin were studied. The slightly loading dose was used to developing the new dosage regimen. The fifty patients in experimental group and fifty patients in control group were evaluated for the effect of the slightly loading dose regimen that started with warfarin 5 mg/day, compared with the traditional regimen that started warfarin with estimate maintenance dose, 2.5 mg/day. Prothombin time, reported as INR, was the assay for monitoring the anticoagulant intensity at day 3, 4 and 5 after started warfarin. The therapeutic INR range recommended for this study was 2.0–3.0. Patients in experimental group had mean INR within therapeutic range art day 3, two days before patients in control group that had mean INR within therapeutic range at day 5 after started warfarin. At day 3 after started warfarin, the number of patients that had INR < 2.0 in experimental group was less than control group, 21 patients (42%) and 39 patients (78%), respectively (p=0.0201) and the number of patients had INR > 3.0 in experimental group was more than control group, 15 patients (30%) and 3 patients (6%) (p=0.0047). At day 4 after started warfarin 14 patients in experimental group (28%) that had INR < 2.0 was significant less than 31 patients in control group (62%), respectively (p=0.0113). The number of patients reached an INR 2.0–3.0 in experimental group were more than in control group, 14 (28%) at day 3, 23 (46%) at day 4, 28 (56%) at day 5 after started warfarin in experimental group and 8 (16%) at day 3, 14 (28%) at day 4, 18 (36%) at day 5 after started wanfarin in control group. The difference was not significant, however the new slightly loading dosage regimen increased INR to therapeutic goal more quickly but sometime some patients had INR > 3.0. One patients in the experimental group had wound bleeding, and 2 patients in control group had thromboembolic complication in this study. As a result of this study, the new dosage regimen should be revised to provide for a lower initial warfarin dose. To avoids INR > 3.0 that could create a higher risk for bleeding.
Description: วิทยานิพนธ์ (ภ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540
Degree Name: เภสัชศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level: ปริญญาโท
Degree Discipline: เภสัชกรรม
URI: http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/72075
ISBN: 9746381466
Type: Thesis
Appears in Collections:Grad - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Rachanee_ho_front_p.pdfหน้าปก สารบัญ และบทคัดย่อ665.59 kBAdobe PDFView/Open
Rachanee_ho_ch1_p.pdfบทที่ 1490.84 kBAdobe PDFView/Open
Rachanee_ho_ch2_p.pdfบทที่ 2674.39 kBAdobe PDFView/Open
Rachanee_ho_ch3_p.pdfบทที่ 3800.06 kBAdobe PDFView/Open
Rachanee_ho_ch4_p.pdfบทที่ 4821.89 kBAdobe PDFView/Open
Rachanee_ho_ch5_p.pdfบทที่ 5802.67 kBAdobe PDFView/Open
Rachanee_ho_back_p.pdfบรรณานุกรมและภาคผนวก944.62 kBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.