Please use this identifier to cite or link to this item:
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61088
Title: | มาตรการทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมการมีบุตร |
Authors: | สนั่น ศิรินันท์ธนานนท์ |
Advisors: | อดิศักดิ์ สืบประดิษฐ์ |
Other author: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะนิติศาสตร์ |
Advisor's Email: | ไม่มีข้อมูล |
Subjects: | การเกิด การคลอด |
Issue Date: | 2560 |
Publisher: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract: | ในปัจจุบันประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ซึ่งหมายถึง สังคมที่มี ประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มีจำนวนมากกว่าร้อยละ 7 ของจานวนประชากรทั้งหมด โดยขณะนี้ ประเทศไทยมีประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 10 หรือมากกว่า 7 ล้านคน ในขณะที่อัตรา การเจริญพันธุ์ลดลงจาก 5 คนต่อสตรีหนึ่งคนในปี พ.ศ. 2507 เหลือเพียง 1.6 คนต่อสตรีหนึ่งคนใน ปัจจุบันผลจากการที่ประเทศไทยเริ่มมีอัตราส่วนผู้สูงอายุมากขึ้นและมีอัตราการเกิดของเด็กลดลง ทำให้ประชากรวัยทางานที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ลดลงตามไปด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้หากไม่วางแผนรับมือให้ดีอาจก่อให้เกิดปัญหาได้ในระยะยาวทั้งในด้านสังคมและภาคเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลก็ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้ออกมาตรการส่งเสริมการมีบุตร ณ วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561 ได้มีการประกาศบังคับใช้กฎกระทรวงฉบับที่ 338 พ.ศ. 2561 มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรสสำหรับค่าฝากครรภ์และค่า คลอดบุตรตามที่ได้จ่ายจริงสาหรับการตั้งครรภ์แต่ละคราวแต่ต้องไม่เกิน 60,000 บาท ถ้าการจ่ายค่า ฝากครรภ์และการคลอดบุตรได้มีการจ่ายต่างปีภาษี ให้ยกเว้นเงินได้ตามจานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกัน แล้วต้องไม่เกิน 60,000 บาท ซึ่งวัตถุประสงค์ของกฎกระทรวงฉบับที่ 338 ดังกล่าวนั้นมีขึ้นเพื่อที่จะ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรและจูงใจให้ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรสมีบุตรเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอที่จะจูงใจให้ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรสมีบุตรเพิ่มขึ้นเนื่องจากภาระ ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรที่เพิ่มขึ้นจากการมีบุตรเพิ่มนั้นสูงกว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับ นอกจากนี้ ณ ขณะที่ได้จัดทาเอกัตศักษาฉบันนี้ เงื่อนไขในการได้รับสิทธิยกเว้นเงินได้ค่า คลอดบุตรตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรยังไม่ได้มีการประกาศบังคับใช้ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่กาลังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดลดลง แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วต่างก็ประสบปัญหาอัตราการเกิดลดลงที่เช่นกัน โดยประเทศสิงคโปร์ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีอัตราส่วนผู้สูงอายุมากสุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นประกอบกับอัตราการเกิดของเด็กทารกลดลงอย่างมาก หากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปจะทำให้ประเทศประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมได้ในอนาคต รัฐบาลประเทศสิงคโปร์จึงได้ออกมาตรการทางสังคมและมาตรการทางภาษีต่าง ๆ มาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ จากการศึกษาพบว่า มีมาตรการส่งเสริมการมีบุตรของประเทศสิงคโปร์บางมาตรการที่สามารถนำมาเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ในประเทศไทยได้ โดยการกำหนดให้มีการให้ส่วนลดภาษีจากการให้กำเนิดบุตรแทนการยกเว้นภาษีเงินได้ให้ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรส รวมถึงการออกมาตรการเงินฝากเพื่อการพัฒนาเด็กโดยให้กำหนดเงื่อนไขการเบิกจ่ายเช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ อีกทั้งยังเสนอให้กำหนดสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สาหรับค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรครอบคลุมในกรณีที่มารดาไม่มีเงินได้และความเป็นสามีภรรยามีไม่ครบปี ได้แก่ สามีภรรยาตายจากกันในระหว่างปี หรือสามีภรรยาหย่าขาดจากกันระหว่างปี หรือสามีภรรยาแต่งงานกันระหว่างปี รวมถึงกรณีชายและหญิงอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยาอย่างเปิดเผยโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ได้มีการให้กำเนิดบุตร |
Description: | เอกัตศึกษา(ศศ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560 |
Degree Name: | ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต |
Degree Level: | ปริญญาโท |
Degree Discipline: | กฎหมายเศรษฐกิจ |
URI: | http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61088 |
URI: | http://doi.org/10.58837/CHULA.IS.2017.49 |
metadata.dc.identifier.DOI: | 10.58837/CHULA.IS.2017.49 |
Type: | Independent Study |
Appears in Collections: | Law - Independent Studies |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
598 62551 34.pdf | 660.01 kB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.