Abstract:
การนำรูปแบบสัญญามาใช้ในการกำหนดภาระภาษีส่งผลให้เงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันเสียภาษีแตกต่างกันซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการภาษีอากรที่ดี โดยผู้เขียนทำการศึกษาเงินได้ประเภทดอกเบี้ยเปรียบเทียบกับเงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันกับดอกเบี้ยบางประเภท คือ เงินได้ตามสัญญาเช่าซื้อ สัญญาลิสซิ่ง และสัญญาซื้อขายผ่อนชำระ ("เงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันกับดอกเบี้ย") จากการศึกษาพบว่าประมวลรัษฎากรบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจเฉพาะจากผู้มีเงินได้ประเภทดอกเบี้ย โดยบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้มีเงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันกับดอกเบี้ย ภาษีมูลค่าแม้จะจัดเก็บจากผู้มีเงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันกับดอกเบี้ยซึ่งเป็นผู้ประกอบการแต่ภาระภาษีที่แท้จริงจะตกอยู่กับผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีเงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันกับดอกเบี้ยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาจะสามารถหักค่าใช้จ่ายจากการประกอบการตามความเป็นจริงได้สูงกว่าผู้มีเงินได้ประเภทดอกเบี้ยตามพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 11 ดังนั้น ผู้มีเงินได้ประเภทดอกเบี้ยจะมีภาระภาษีโดยรวมสูงกว่าผู้มีเงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันกับดอกเบี้ย ในทางกลับกัน ต้นทุนทางการเงินของผู้บริโภคในการเลือกรูปแบบการจัดหาเงินทุนที่ก่อให้เกิดเงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันกับดอกเบี้ยจะสูงกว่าผู้มีเงินได้ประเภทดอกเบี้ย อย่างไรก็ดีการจัดเก็บภาษีในอัตรา ระยะเวลา และฐานภาษีที่แตกต่างกันดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นกับการจัดเก็บภาษีทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ และส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง นอกจากนี้ การนำรูปแบบสัญญามาใช้ในการกำหนดภาระเพื่อการจัดเก็บภาษีจะส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในการจัดเก็บภาษี ตลอดจนการยกเว้นการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อน และยังก่อให้เกิดปัญหาในการหลีกเลี่ยงภาษี จากปัญหาที่เกิดขึ้นผู้เขียนจึงทำการนำเสนอให้มีการแก้ไขระบบการจัดเก็บภาษี โดยใช้สาระของเงินได้ในการกำหนดนิยามเพื่อการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะส่งผลให้เงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันถูกจัดเก็บภาษีในอัตรา ระยะเวลา และฐานภาษีเดียวกัน