Abstract:
ภายใต้วาทกรรมการพัฒนาไปสู่ความทันสมัย การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ได้มีการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตามระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม โดยการวางแผนจากส่วนกลางเพื่อให้ประเทศพ้นจากความด้อยพัฒนา เป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีความทันสมัยเทียบเท่ากับประเทศพัฒนาแล้วในตะวันตก ผลของการพัฒนาดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบทางบวกที่ประเทศมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มีการบริการพื้นฐานจากรัฐขยายตัวและทั่วถึงมากขึ้น แต่ก็ได้ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อโครงสร้างของเศรษฐกิจ ที่การกระจายผลประโยชน์เกิดขึ้นอย่างไม่เท่าเทียม มีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศสูงและวิถีชีวิตในชุมชนชนบทถูก ทำให้ลดความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมทำให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่ยั่งยืน เป็นวงจรวิกฤตเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจพอเพียงถูกสร้างขึ้นเป็นวาทกรรมใหม่ในการพัฒนา โดยรัฐได้ใช้ปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจสร้างวาทกรรม ว่าเป็นทางเลือกใหม่ในการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากของประเทศควบคู่ไปกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยม รัฐได้กำหนดกฎเกณฑ์และสถาบันในการพัฒนาและผนวกเศรษฐกิจชุมชนและวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิมของวัฒนธรรมไทยเข้ากับเศรษฐกิจทุนนิยม โดยส่งเสริมการผลิตเพื่อขายโดยอ้างว่ากระบวนการส่งเสริมการประกอบกิจการของชุมชน เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการตีความและครอบงำชุมชนของรัฐ ทำให้วิสาหกิจชุมชนซึ่งเป็นกลไกในการผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยน และการจัดสรรผลผลิต ในบริบทของชุมชน ซึ่งมีความพอเพียงและพึ่งพาตนเองได้ในชุมชน ถูกกำกับโดยระบบราชการผ่านพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 ซึ่งกระบวนการออกกฎหมายกระทำโดยรัฐไม่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน ผลจากการศึกษาวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร ที่ได้รับการส่งเสริมภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าว พบว่า ชุมชนไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ตรงกับเจตนารมณ์ในการเสนอร่างกฎหมายจากชุมชน เนื่องจากไม่มีการกำหนดเครื่องมือหรือโครงสร้างการจัดการ เพื่อให้วิสาหกิจชุมชนได้รับการส่งเสริมให้มีความสามารถพึ่งพาตนเอง และมีภูมิคุ้มกันตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงงานวิจัยนี้เสนอแนวทางในการปรับปรุงและการสร้างเครื่องมือให้วิสาหกิจชุมชน ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นธรรมและทั่วถึงมากขึ้น