Abstract:
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบยูเลิร์นนิ่งโดยใช้แนวคิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชุมชนนักปฏิบัติและการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐานเพื่อสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์สำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นการวิจัยและพัฒนา แบ่งขั้นตอนการวิจัยเป็น 3 ระยะ คือ 1) พัฒนารูปแบบโดยศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างต้นแบบรูปแบบผ่านกระบวนการสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมกลุ่มของ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้แบบทุกที่ทุกเวลา การพัฒนาเว็บไซต์ การจัดการความรู้ของชุมชนนักปฏิบัติ การอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมโดยใช้โครงการเป็นฐาน 2) ศึกษาผลของการใช้งานตามรูปแบบกับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวน 20 คนในเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ เรื่อง “กาวฮิป” เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ระยะที่ 3. นำเสนอรูปแบบการเรียนการสอนยูเลิร์นนิ่งฯ เครื่องมือที่ใช่ได้แก่ เว็บไซต์ยูเลิร์นนิ่ง และแบบวัดนวัตกรรมวัสดุศาสตร์แบบโครงการ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent) และค่าสหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบยูเลิร์นนิ่ง ฯ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบได้แก่ 1)เครือข่ายสมาชิกในชุมชนนักปฏิบัติ 2) องค์ความรู้ผลงานวิจัย หรือกระบวนการเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ 3) เทคโนโลยีการเรียนรู้แบบทุกที่ทุกเวลา หรือยูเลิร์นนิ่ง 4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชนนักปฏิบัติ โดยใช้การเรียนรู้แบบโครงการ มีระยะการดำเนินการตามร่างรูปแบบ ฯ ประกอบด้วย 2 ระยะ ได้แก่ ระยะ ที่ 1) จัดตั้งชุมชน คิดค้นนวัตกรรม เพื่อการเตรียมการก่อนการเรียนการสอน ระยะ ที่ 2) ถ่ายโอนคลังความรู้สู่ชุมชนโดยใช้เครื่องมือยูเลิร์นนิ่งในการเรียนรู้แบบโครงการ ประกอบด้วย 7 ขั้นตอนย่อย ดังนี้ 1) ขั้นการแนะนำ 2) ขั้นมอบหมายงาน 3) ขั้นจัดให้ใช้ทรัพยากร 4) ขั้นกำหนดกระบวนการ 5) ขั้นการชี้นำ หรือฐานการช่วยเหลือ 6) ขั้นการจัดให้มีการระดมสมองกับกลุ่ม 7) ขั้นการสะท้อนกลับ ผลการทดลองรูปแบบพบว่ากลุ่มตัวอย่างสามารถ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างนวัตกรรมวัสดุศาสตร์แบบโครงการ โดยเกิดชุมชนนักปฏิบัติออนไลน์ตามรูปแบบได้ในระดับดี ทั้งนี้ค่าเฉลี่ยการเข้าเรียนรู้และการสนทนาอย่างมีสาระของผู้เรียนแต่ละกลุ่มจะมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาชิ้นงานนวัตกรรมให้มีผลดีขึ้น และผู้เรียนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ตามเนื้อหาโดยมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05