Abstract:
ก่อนการเกิดขึ้นของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและลงโทษอาชญากรรมทำลายล้างเผ่าพันธุ์ ค.ศ. 1948 การยุยงโดยตรงและโดยสาธารณะให้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงการประหัตประหารภายใต้อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ต่อมาเมื่อศาลอาญาระหว่างประเทศแห่งอดีตยูโกสลาเวียเกิดขึ้น การยุยงโดยตรงและโดยสาธารณะให้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์จึงเป็นความผิดฐานหนึ่งภายใต้ศาลอาญาระหว่างประเทศแห่งอดีตยูโกสลาเวีย แต่ยังคงไม่ปรากฏแนวทางการใช้และการตีความความผิดฐานยุยงโดยตรงและโดยสาธารณะให้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่ชัดเจน จนกระทั่งเมื่อศาลอาญาระหว่างประเทศแห่งรวันดาเกิดขึ้น ซึ่งนอกจากธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศแห่งรวันดาจะมีการรับรองให้ความผิดฐานยุยงโดยตรงและโดยสาธารณะเป็นความผิดภายใต้ธรรมนูญศาลแล้ว ศาลอาญาระหว่างประเทศแห่งรวันดายังได้วางแนวคำพิพากษาศาลในการใช้และการตีความบทบัญญัติดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้นและยืนยันถึงองค์ประกอบความผิด 5 ประการที่ต้องพิสูจน์ คือ
(1) เจตนายุยงให้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์
(2) การยุยงให้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์
(3) การกระทำโดยตรง
(4) การกระทำโดยสาธารณะ
(5) การเป็นความผิดที่ไม่ต้องการความสำเร็จของการกระทำและความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
หลักกฎหมายที่เกิดจากการใช้และตีความของศาลอาญาระหว่างประเทศแห่งรวันดาต่อความผิดฐานยุยงโดยตรงและโดยสาธารณะให้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์จึงส่งอิทธิพลต่อการกำหนดองค์ประกอบความผิดฐานนี้ในกฎหมายระหว่างประเทศอื่นๆ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วย