Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงในการทำเกษตรกรรม กระบวนการปรับตัวและปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรรมที่ยังคงอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากการขยายตัวของเมือง อีกทั้งผลผลิตทางการเกษตรให้ผลตอบแทนต่ำเมื่อเปรียบเทียบในเชิงเศรษฐศาสตร์กับมูลค่าที่ดินที่แตกต่างกันมาก โดยศึกษาผ่าน ชุมชนคลองลัดมะยม เขตตลิ่งชัน ที่ในปัจจุบันยังคงรักษาสภาพชุมชนเกษตรแบบสวนไว้ได้ กรอบแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ศึกษา ได้แก่ ความสำคัญของพื้นที่เกษตรกรรมในเขตเมือง การจำกัดขอบเขตพื้นที่เมือง วัฒนธรรมชุมชน โดยได้ทำการวิเคราะห์และประเมินจากปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ด้าน คือ ที่ดิน แรงงาน ตลาด และรายได้ ทั้งก่อนและหลังปี พ.ศ. 2547 ซึ่งมีการพัฒนาระบบถนนหลายสายในเขตตลิ่งชันจากการศึกษาพบว่าสภาพทางกายภาพที่เข้าถึงได้ยาก อีกทั้งสภาพพื้นที่ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทำให้ชุมชนคลองลัดมะยมเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า อีกทั้งกลไกโดยเกษตรกรเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกษตรกรรมยังคงอยู่ จากรายได้ในภาคเกษตรกรรมที่ไม่แน่นอน และต้นทุนที่สูงขึ้น เกษตรกรมีการปรับตัวเพื่อให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากนอกภาคเกษตรกรรม ในแต่ละครัวเรือนประกอบอาชีพที่หลากหลายทำให้มีรายได้จากหลายแห่งไม่พึ่งจากด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในชุมชนมีการจัดตั้งตลาดน้ำคลองลัดมะยม เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว อีกทั้งจากแรงงานนอกภาคเกษตรกรรมที่มีอยู่ทุกครัวเรือนที่ยังอาศัยอยู่ในชุมชน และการมีขนาดแปลงที่ดินสำหรับการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทเกษตรกรรมที่เพียงพอในแต่ละครัวเรือนทำให้เกษตรกรรมยังคงอยู่ในปัจจุบัน และกรรมสิทธิ์ที่ดินมีผลต่อการคงอยู่ต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของตนเองมีการคงอยู่และความต้องการสืบทอดการทำเกษตรกรรมต่อไปที่สูงกว่าการเช่าที่ดิน แต่เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่เช่าที่ดิน ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ของพื้นที่ มีระดับการคงอยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้ว่าผลตอบแทนจากเกษตรกรรมอยู่ในระดับต่ำไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจแต่พื้นที่เกษตรกรรมในฐานะองค์ประกอบสำคัญที่ให้ประโยชน์กับเมือง ผลจากการวิเคราะห์จึงเสนอแนวทางการอนุรักษ์พื้นที่เกษตรกรรมที่สอดคล้องกับมูลค่าที่ดินในเขตเมือง ทั้งในระดับชุมชนและภาครัฐ โดยเสนอให้ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและการทำเกษตรกรรมแบบเข้มข้น มีการรักษาภูมิทัศน์ของพื้นที่เพื่อพัฒนาด้านการท่องเที่ยว ส่งเสริมการรวมกลุ่มในชุมชนให้ใช้ทรัพยากรในชุมชนอย่างคุ้มค่า และให้ความรู้ในการใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเกษตร เพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงให้พื้นที่เกษตรกรรมยังคงอยู่ต่อไป