Abstract:
พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 ได้เพิ่มหลักการใหม่ในส่วนของภาระการพิสูจน์ของผู้เสียหายให้มีการนำหลักความรับผิดโดยเคร่งครัดมาใช้ ทำให้ผู้เสียหายไม่จำต้องพิสูจน์ถึงการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่าตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ ผู้เสียหายมีภาระการพิสูจน์ให้ศาลเห็นถึงความบกพร่องของสินค้า และผลกระทบของความบกพร่องนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายได้อย่างไร ซึ่งถือได้ว่ามีความแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมายไทยในสาระสำคัญ ผลสรุปจากการศึกษาทำให้ผู้วิจัยมีความเห็นว่า การที่กฎหมายกำหนดภาระพิสูจน์ให้ผู้ประกอบการเป็นฝ่ายพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่อยู่ในความรู้เห็นของฝ่ายตน โดยเฉพาะในส่วนของการผลิต การออกแบบ และการให้คำเตือน เป็นการกำหนดที่เหมาะสมสอดคล้องกับกระบวนการพิจารณาและดำเนินคดีตามกฎหมายไทยแล้ว เนื่องจากหากกำหนดให้ผู้เสียหายมีภาระการพิสูจน์ว่า สินค้าพิพาทนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยเหมือนกับกฎหมายต่างของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ จะทำให้มีปัญหาในทางปฏิบัติที่จะให้ผู้เสียหายแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ว่า สินค้าพิพาทนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยอย่างไร ซึ่งจะทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสินค้าที่พิพาทนั้นมีความบกพร่องอย่างไร เพราะผู้เสียหายไม่อาจเข้าถึงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่อยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของฝ่ายผู้ประกอบการได้