ปัจจุบันความผิดเกี่ยวกับการทุจริตสถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ได้มีการกระทำในรูปแบบขบวนการโดยการแบ่งการบังคับบัญชาเป็นลำดับขั้น และมีการจัดรูปแบบขบวนการอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้เป็นหัวหน้าขบวนกรจะเป็นผู้วางแผนการต่าง โดยไม่ได้ลงมือกระทำความผิดเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ผู้เป็นหัวหน้าขบวนการซึ่งอยู่เบื้องหลังการกระทำความผิดเป็นบุคคลสำคัญที่มีผลต่อการอยู่หรือล้มเลิกของขบวนการ การปราบปรามดำเนินคดีกับผู้เป็นหัวหน้าขบวนการจึงมีผลต่อการล้มเลิกของขบวนการได้ ในการศึกษามาตรการกฎหมายเรื่องตัวการ ผู้ใช้และผู้สนับสนุนเพื่อใช้ดำเนินคดีความผิดการทุจริตต่อธนาคารพาณิชย์ พบว่ามาตราดังกล่าวไม่อาจใช้ดำเนินการเพื่อป้องกันการลงมือกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตต่อธนาคารพาณิชย์และไม่อาจใช้ดำเนินการกับการกระทำบางลักษณะของผู้เป็นหัวหน้าขบวนการที่อยู่เบื้องหลังการกระทำความผิดได้ ทั้งการพิสูจน์ความผิดของหัวหน้าขบวนการก็ทำได้ยากลำบาก เพราะว่าความผิดเกี่ยวกับการทุจริตต่อธนาคารพาณิชย์มีลักษณะพิเศษคือ ปราศจากผู้เสียหายและโดยการตกลงแผนการกระทำความผิด ปกติจะทำด้วยความรวดเร็วและเป็นความลับยากแก่คนภายนอกจะได้พยานหลักฐานส่วนใหญ่จึงได้แก่ ผู้ร่วมกระทำความผิดซึ่งพยานลักษณะนี้มีลักษณะการซักทอดหรือเป็นผลร้ายต่อจำเลยอื่นศาลจึงมักจะไม่รับฟังพยานหรือรับฟังเป็นพยานแต่มีน้ำหนักน้อย ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจดำเนินการกับผู้เป็นหัวหน้าองค์กรซึ่งเป็นต้นเหตุในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตต่อธนาคารพาณิชย์ ในประเทศอังกฤษ อเมริกา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ มาตรการกฎหมายที่ใช้ดำเนินการกับหัวหน้าองค์กรเพื่อปราบปรามขบวนการกระทำความผิด ได้แก่ หลักกฎหมายสมคบกันกระทำความผิด โดยหลักกฎหมายดังกล่าวได้วางลักษณะความผิดให้ครอบคลุมถึงการกระทำของผู้เป็นหัวหน้าองค์กรให้เป้นความผิดขึ้น โดยกำหนดให้การตกลงกันเพื่อจะกระทำความผิดแม้จะไม่ได้มีการกระทำความผิดตกลงกันนั้น ก็เป็นความผิดแล้วและในการตกลงกันนี้ได้มีการขยายขอบเขตให้กว้างขวาง
ซึ่งการตกลงกันอาจจะตกลงกันโดยตรงหรือโดยปริยาย โดยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ โดยผู้ที่ทำการตกลงอาจจะไม่อยู่ในสถานที่เดียวกันหรือไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ได้ และในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการพิสูจน์ความผิดของผู้เป็นหัวหน้าองค์กร ก็ได้มีการกำหนดให้สามารถรับฟังพยานพฤติการณ์แวดล้อมกรณี และมีการยกเว้นหลัดห้ามรับฟังพยานบอกเล่า โดยให้รับฟังคำรับของผู้ร่วมกระทำความผิด วิทยานิพนธ์นี้ ผู้เขียนได้วิเคราะห์ถึงการนำหลักการสมคบกันกระทำความผิดมาใช้เพื่อปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตต่อธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหลักกฎหมายดังกล่าวมีลักษณะเป็นการป้องกันการกระทำความผิดและส่งเสริมมาตรการกฎหมายสาระบัญญัติทำไปให้มีประสิทธิภาพ โดยผู้เขียนได้วิเคราะห์มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อธนาคารพาณิชย์ตลอดทำสรุปและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าวด้วย