Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ผลของการคุกคามจากภาพในความคิด การเห็นคุณค่าในตนเอง และรูปแบบการอนุมานสาเหตุ ต่อผลงานด้านคณิตศาสตร์ในนักเรียนหญิงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผู้เข้าร่วมการทดลองประกอบด้วย นักเรียนหญิงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 167 คน แยกได้ 8 เงื่อนไข คือ ภาพในความคิด 2 แบบ (ถูกคุกคามจากภาพในความคิด หรือไม่ถูกคุกคามจากภาพในความคิด) x การเห็นคุณค่าในตนเอง 2 แบบ (เห็นคุณค่าในตนเองสูง หรือเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ x รูปแบบการอนุมานสาเหตุ 2 แบบ (แบบมองโลกในแง่ดี หรือแบบมองโลกในแง่ร้าย) จากนั้นจึงให้ผู้เข้าร่วมการทดลอง ทำแบบทดสอบทางด้านคณิตศาสตร์ตามเงื่อนไข
ผลการวิจัยพบว่า จากการวิเคราะห์ความแปรปรวน 3 ทาง คือ ภาพในความคิด 2 แบบ (ถูกคุกคามจากภาพในความคิด หรือไม่ถูกคุกคามจากภาพในความคิด) x รูปแบบการอนุมานสาเหตุ 2 แบบ (แบบมองโลกในแง่ดี หรือแบบมองโลกในแง่ร้าย) x การเห็นคุณค่าในตนเอง 2 แบบ (เห็นคุณค่าในตนเองสูง หรือเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ) พบว่า ผลหลักของภาพในความคิด มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 [F(1,159) = 4.71, p < .05] คือ นักเรียนในเงื่อนไขถูกคุกคามจากภาพในความคิดมีคะแนนความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ที่ (M = 8.01, SD = 5.99) น้อยกว่านักเรียนในเงื่อนไขไม่ถูกคุกคามจากภาพในความคิดมีคะแนนความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ที่ (M = 10.18, SD = 5.89) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลหลักของการเห็นคุณค่าในตนเอง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 [F(1,159) = 18.91, p < .001] คือ นักเรียนที่มีการเห็นคุณค่าในตนเองต่ำมีคะแนนความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ที่ (M = 7.37, SD = 5.41) น้อยกว่านักเรียนที่มีการเห็นคุณค่าในตนเองสูงมีคะแนนความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ที่ (M = 11.10, SD = 6.08) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 แต่ผลหลักของรูปแบบการอนุมานสาเหตุ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ [F(1,159) = 0.05, ns] และปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ภาพในความคิด กับ การเห็นคุณค่าในตนเอง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 [F(1,159) = 8.88, p < .001]