Abstract:
อุตสาหกรรมกระจกเป็นอุตสาหกรรมที่มีการนำเข้าและส่งออกกับต่างประเทศอย่างมาก จากการเปิดการค้าเสรีทำให้มีการนำเข้ากระจกจากต่างประเทศ ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่าในปริมาณที่มาก จึงทำให้เกิดปัญหาการทุ่มตลาดขึ้น ซึ่งประเทศอินโดนีเซียก็เป็นประเทศหนึ่งที่ทุ่มตลาดกระจก ประเทศไทยจึงได้ใช้มาตรการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด จากสาเหตุดังกล่าวจึงนำไปสู่การศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดของอินโดนีเซียต่ออุปสงค์การใช้กระจกของไทย ร่วมกับการวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันของประเทศส่งออกกระจก มายังไทย การศึกษานี้ใช้ดัชนี Revealed Comparative Advantage (RCA) วิเคราะห์ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของการส่งออกกระจก ร่วมกับส่วนแบ่งตลาด (Market Share) เพื่อวิเคราะห์ความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ของการส่งออกกระจกจากประเทศญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย เยอรมนี และอินโดนีเซีย มายังไทย และใช้ Ordinary Least Square (OLS) ในการวิเคราะห์ผลกระทบจากการใช้มาตรการทุ่มตลาด โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิแบบอนุกรมเวลาในช่วงระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2541-2550 ผลการศึกษาพบว่า ญี่ปุ่น มาเลเซีย เยอรมนี จีน และอินโดนีเซีย มีศักยภาพในการเจาะตลาดกระจกไทยได้ดี ส่วนผลกระทบจากการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด พบว่า การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์การใช้กระจกที่ผลิตภายในประเทศมีค่ามากกว่าการลดลงของอุปสงค์กระจกที่นำเข้า จึงสามารถสรุปได้ว่าการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดมีผลกระทบให้อุปสงค์การใช้กระจกโดยรวมมีค่าเพิ่มขึ้น นับเป็นผลดีต่อผู้บริโภคกระจก แต่จะส่งผลเสียแก่ผู้นำเข้ากระจกที่ต้องนำเข้ากระจกในราคาที่สูงขึ้น