Abstract:
ที่มา : โรคเบาหวานที่มาด้วยอาการภาวะเลือดเป็นกรดเป็นครั้งแรกมีสาเหตุจากโรคเบาหวานได้หลายชนิด จุดประสงค์ของการศึกษานี้เพื่อทดสอบความสามารถของการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนในผู้ป่วยเบาหวานที่เสี่ยงต่อภาวะเลือดเป็นกรดและตรวจภูมิต้านทานต่อตับอ่อน เพื่อดูว่าแตกต่างจากโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือไม่หลังหายจากภาวะเลือดเป็นกรด
วิธีการศึกษา : ผู้ป่วยเบาหวานที่เสี่ยงต่อภาวะเลือดเป็นกรดที่ได้รับการวินิจฉัยจากการเกิดภาวะเลือดเป็นกรดโดยมีปัจจัยกระตุ้นไม่แน่ชัดและเกิดโรคเบาหวานหลังอายุ 30 ปี จำนวน 12 ราย ได้รับการตรวจความสามารถของการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนและตรวจภูมิต้านทานต่อตับอ่อน เทียบกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จำนวน 12 ราย หลังหายจากภาวะเลือดเป็นกรด และมีการตรวจซ้ำทุก 6 เดือนจนครบระยะเวลาวิจัย 12 เดือน
ผลการศึกษา : จากการศึกษาพบว่าอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยเบาหวานที่เสี่ยงต่อภาวะเลือดเป็นกรด อยู่ที่ 43.0+11.1ปี เทียบกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งอยู่ที่ 26.7+10.3 ปี (p<0.001) ค่ามัธยฐาน fasting plasma C-peptide ในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่เสี่ยงต่อภาวะเลือดเป็นกรดอยู่ที่ 0.75 ng/dl (0.13-1.23) เทียบกับ 0.10 ng/dl (0.10-0.45) ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 (p=0.024) และค่ามัธยฐาน median peak stimulated plasma C-peptide ในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่เสี่ยงต่อภาวะเลือดเป็นกรดอยู่ที่ 1.20 ng/dl (0.55-6.65) เทียบกับ 0.15 ng/dl (0.10-0.50) ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 (p=0.018) จากการแบ่งผู้ป่วยโดยใช้ระบบ Aß classification ในการศึกษานี้พบผู้ป่วย A+ß- จำนวน 2 ราย, A-ß+ จำนวน 5 ราย, และ A-ß- จำนวน 5 ราย ไม่พบผู้ป่วยในกลุ่ม A+ß+ จากการติดตามตลอดระยะเวลา 12 เดือน พบว่าผู้ป่วยกลุ่ม A-ß+ จำนวน 4 ราย (คิดเป็นร้อยละ 80 ของผู้ป่วยกลุ่ม A-ß+) สามารถหยุดอินซูลินได้โดยไม่เกิดเลือดเป็นกรดซ้ำที่ระยะเวลา 2 ถึง 7 เดือนหลังหายจากภาวะเลือดเป็นกรด
สรุปผลการศึกษา : ภาวะเสี่ยงต่อการเป็นกรดจากโรคเบาหวานในผู้ป่วยไทยมีการดำเนินโรคที่หลากหลายซึ่งแตกต่างจากโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เช่นเดียวกับที่เคยรายงานจากการศึกษาในต่างประเทศ การแบ่งผู้ป่วยเหล่านี้โดยใช้ระบบ Aß classification มีประโยชน์ในการพิจารณาหยุดอินซูลินในผู้ป่วยเหล่านี้