Abstract:
การศึกษาวิจัยในวิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิจัยถึงการวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลภาครัฐโดยคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) และการควบคุมตรวจสอบความชอบด้วย กฎหมายในการวินิจฉัยข้อพิพาทของ ก.พ.ค. โดยศาลปกครอง พร้อมทั้งศึกษาวิจัยองค์กรวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับ การบริหารงานบุคคลภาครัฐในประเทศฝรั่งเศสและประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาเป็นกรณีศึกษาเปรียบเทียบถึง แนวทางในการพัฒนาการวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลภาครัฐโดย ก.พ.ค. และศาลปกครองให้มี ความเหมาะสมต่อไป ผลจากการศึกษาพบว่า ก.พ.ค. เป็นคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ที่มีการจัดโครงสร้างและระเบียบวิธีพิจารณาข้อพิพาทในขั้นตอนต่างๆ ที่สามารถให้หลักประกันในความเป็นธรรม แก่คู่กรณีเทียบเท่ากับโครงสร้างและระเบียบวิธีพิจารณาคดีของศาล อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การทำหน้าที่ของ ก.พ.ค. มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเชิงของโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ ระเบียบวิธีพิจารณาข้อพิพาท และการบริหารจัดการ ผู้ศึกษาจึงได้เสนอรายละเอียดของแนวทางการพัฒนาในด้านต่างๆ ไว้ในวิทยานิพนธ์ ฉบับนี้แล้ว สำหรับในส่วนการควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายในการวินิจฉัยข้อพิพาทของ ก.พ.ค. โดยศาลปกครองนั้น พบว่า เมื่อ ก.พ.ค. เป็นคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทที่มีความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัยข้อพิพาท เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลภาครัฐทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายแล้ว จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ศาลปกครองต้องทำการปรับเปลี่ยนและพัฒนาระเบียบวิธีพิจารณาคดีปกครองที่เกี่ยวกับการควบคุมตรวจสอบ คำวินิจฉัยของ ก.พ.ค. รวมถึงคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทอื่นโดยทั่วไป โดยควรกำหนดขั้นตอนใน
การแสวงหาข้อเท็จจริงจากคู่กรณีเพียงสองขั้นตอน ประกอบกับควรกำหนดให้ผู้ใดที่ไม่พอใจในคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค. สามารถยื่นฟ้องต่อศาลเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่พอใจในคำวินิจฉัยขององค์กร วินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลภาครัฐในต่างประเทศ ที่สามารถยื่นฟ้องต่อศาลเฉพาะในปัญหา ข้อกฎหมายเท่านั้นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวโดยสรุปว่า หากมีการพัฒนาระบบการวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับ การบริหารงานบุคคลภาครัฐทั้งในส่วนของ ก.พ.ค. และศาลปกครองให้มีความสอดคล้องและต่อเนื่องกันอย่าง เป็นรูปธรรมแล้ว ย่อมที่จะเป็นการแบ่งแยกการใช้อำนาจของแต่ละองค์กรได้อย่างมีดุลยภาพ และเป็นการสร้างหลักประกันที่มีความเป็นธรรมให้แก่คู่กรณีภายใต้การปกครองตามหลักนิติรัฐนั่นเอง