Abstract:
สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) เป็นปรากฎการณ์สากลของประเทศชั้นนำทางอุตสาหกรรมทั่วโลกรวมทั้งประเทศญี่ปุ่น จึงก่อให้เกิดการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวทางเลือก (Alternative tourism) นั่นคือการท่องเที่ยวลองสเตย์ (หรือการท่องเที่ยวแบบพำนักนาน/พำนักระยะยาว) ในฐานะการท่องเที่ยวเพื่อประสบการณ์ที่มีคุณภาพ (Quality tourism experience) การท่องเที่ยวลองสเตย์มุ่งเน้นนักท่องเที่ยวผู้สูงวัยยามเกษียณผู้สามารถเดินทางออกนอกประเทศแบบชั่วคราวเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมร่วมกับคนท้องถิ่นหากแต่พักอาศัยระยะยาวเป็นแรมเดือนหรือบางกรณีเป็นเวลานานปี ดำรงชีพด้วยเงินบำนาญของตนเองโดยไม่ทำงานในประเทศของการลองสเตย์ รวมทั้งมีความตั้งใจเดินทางกลับสู่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเสร็จสิ้นระยะเวลาของการลองสเตย์ในที่สุด อย่างไรก็ตาม หนึ่งทศวรรษนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เมื่อการท่องเที่ยวลองสเตย์ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ปรัชญาพื้นฐานของการท่องเที่ยวประเภทนี้ยังมิได้ถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากมุ่งเน้นการจัดให้มีอสังหาริมทรัพย์ด้านที่พักอาศัยอย่างหรูหราและกิจกรรมสันทนาการเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเองเป็นหลักตลอดมานั่นเอง งานวิจัยฉบับนี้จึงได้เลือกจังหวัดภูเก็ต ประเทศไทยเป็นสถานที่ดำเนินการศึกษาเพราะภูเก็ตมีความเป็นนานาชาติสูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ และงานวิจัยนี้มีความประสงค์จะตอบโจทย์วิจัยด้าน (1) ความพร้อมของผู้สูงอายุชาวไทยและผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นในการมีกิจกรรมทางสังคมร่วมกัน (2) การศึกษาประเภทของกิจกรรมอันพึงประสงค์ของผู้สูงอายุทั้งสองฝ่าย (3) การศึกษารูปแบบของกิจกรรมของผู้สูงอายุในฐานะการท่องเที่ยวชุมชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตลอดจน (4) การศึกษาการสนับสนุนจาก อปท. และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยคณะผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยระหว่างปี พ.ศ. 2553-2554 และได้รับการผ่านการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยหมายเลข 039.1/53
ทั้งนี้ วิธีวิทยาที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพคือ การสนทนากลุ่ม (Focus group discussion) กับผู้มีส่วนร่วมการวิจัยทั้งชายและหญิงจำนวน 13 กลุ่มรวมทั้งสิ้น 81 รายจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ของการท่องเที่ยวลองสเตย์ในจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้สูงอายุชาวไทย ผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่น สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา องค์กรที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวของจังหวัด สื่อสารมวลชนชาวไทย และสื่อสารมวลชนต่างประเทศ ผู้ดำเนินการสนทนากลุ่มเป็นนักวิจัยร่วมผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยาและมนุษยศาสตร์จำนวน 3 ราย โดยได้ดำเนินการสนทนากลุ่มในภาคภาษาไทย ภาคภาษาญี่ปุ่นและภาคภาษาอังกฤษ การสนทนากลุ่มทุก ๆ กลุ่มได้ทำการบันทึกเสียงและทำการถอดเทปเสียงเพื่อการวิเคราะห์เนื้อหา ผู้วิจัยและนักวิจัยร่วม 2 รายต่างให้ Code ของเนื้อหาการสนทนากลุ่มอย่างเป็นอิสระต่อกันโดยมีข้อมูลสะท้อนกลับในบางประเด็น ก่อนที่จะร่วมกันพัฒนา Code ของการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพเพื่อแสวงหา Themes and categories ทั้งนี้ ร่างฉบับแรกของผลการศึกษาได้จัดส่งไปยังผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นเพื่อตรวจสอบเฉพาะเนื้อหาและความครอบคลุมเท่านั้น โดยได้รับข้อแนะนำเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ดำเนินการแก้ไขร่างดังกล่าวหลังจากได้หารือและได้ข้อสรุปร่วมกันกับผู้ดำเนินการสนทนากลุ่มแล้ว
ผลการวิเคราะห์เนื้อหาแบบบรรยายเชิงคุณภาพ (Qualitative descriptive content analysis) พบว่า เช่นเดียวกับจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวกระแสหลัก (Mass tourism) อื่น ๆ ของโลก จังหวัดภูเก็ตกำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤติของการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ การเสื่อมตัวลงของสภาพแวดล้อม ปัญหาประชากรแฝง และปัญหาสังคมอื่น ๆ ผู้เข้าร่วมวิจัยต่างมีมุมมองเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวลองสเตย์ในจังหวัดภูเก็ตว่า เป็นชาวตะวันตกที่อาศัยร่วมกันในสถานที่หรูหรา หรือชาวตะวันตกที่สมรสกับชาวไทยและเปิดกิจการร้านค้าขึ้นในจังหวัด หรือเป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นผู้เดินทางมาเล่นกอล์ฟ หรือแม้แต่หวนคิดถึงโครงการในอดีตของการนำผู้สูงวัยชาวญี่ปุ่นที่ต้องการการดูแลในเนอร์ซิ่งโฮมของจังหวัดภูเก็ต (อนเป็นจุดประสงค์ของโครงการ Japan’s Silver Columbia Plan ในอดีต) นอกจากนี้ ผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นและผู้สูงอายุชาวไทยยังได้แสดงมุมมองของการใช้ชีวิตในวัยเกษียณว่า เป็นการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ของคนญี่ปุ่น และการให้ความช่วยเหลือและการให้คืนกลับสู่สังคมของคนไทย แม้ว่าการท่องเที่ยวลองสเตย์เพื่อการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมระหว่างกันจักไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในภูเก็ต หากแต่ผู้สูงอายุชาวไทยและผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นรวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มอื่น ๆ ก็ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับกิจกรรมอันพึงประสงค์ (ซึ่งได้สอบถามต่อในแบบสอบถามของการวิจัยเชิงปริมาณ) รวมทั้งการสนองตอบเชิงบวกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวลองสเตย์ดังกล่าว
ผลการวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 574 ราย (ชาวไทยจำนวน 500 ราย (แบ่งออกเป็นผู้สูงอายุชาวไทยจำนวน 429 รายและอื่น ๆ จำนวน 71 ราย และชาวญี่ปุ่นผู้สูงอายุจำนวน 74 ราย) มีอัตราการตอบกลับร้อยละ 76.92 สำหรับคนไทยและร้อยละ 100 สำหรับชาวญี่ปุ่นตามลำดับ) พบว่า ผู้สูงอายุชาวไทยโดยเฉลี่ยมีอายุประมาณ 63 ปี เป็นเพศหญิงประมาณร้อยละ 62 ระดับการศึกษาน้อยกว่าประถมศึกษาประมาณร้อยละ 65 สมรสแล้วประมาณร้อยละ 58 โดยประมาณร้อยละ 87 เกิดในจังหวัดภูเก็ต อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มคนไทยนี้ร้อยละ 71 (จำนวน 355 ราย) มีความยินดีในการมีกิจกรรมทางสังคมร่วมกันระหว่างผู้สูงอายุคนไทยและคนญี่ปุ่น โดยประสงค์ให้มีกิจกรรมด้านหัตถกรรม (ร้อยละ 34.6) งานอาสาสมัคร (ร้อยละ 23.1) อาหารไทยและญี่ปุ่น (ร้อยละ 19.7) กีฬาไทยและญี่ปุ่น (ร้อยละ 15.8) และกิจกรรมท้องถิ่น (ร้อยละ 6.8) โดยประสงค์ให้จัดกิจกรรมดังกล่าวทุก ๆ เดือน (ประมาณร้อยละ 70) ในลักษณะการเรียนรู้ร่วมกัน (ประมาณร้อยละ 52) หรือการแลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกัน (ประมาณร้อยละ 25) ประมาณร้อยละ 60 ของกลุ่มตัวอย่างคนไทยผู้สูงอายุและคนไทยกลุ่มอื่น ๆ เชื่อว่าความแตกต่างของภาษาจะเป็นอุปสรรคต่อการมีกิจกรรมทางสังคมร่วมกันและเลือกให้มีล่ามอาสาสมัคร (ร้อยละ 62.0) ด้านที่พักอาศัยของชาวญี่ปุ่นผู้สูงอายุนั้น คนไทยประมาณร้อยละ 58.0 เห็นว่า ควรใช้ที่พักอาศัยที่มีอยู่แล้ว (เช่น อพาร์ทเม้นต์ คอนโดมิเนียม หรือบ้าน) และประมาณร้อยละ 24 เห็นว่า สามารถอาศัยร่วมกับคนไทยได้ด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างมีเกณฑ์การคัดเลือกซึ่งกันและกัน โดยเห็นว่าที่พักอาศัยควรอยู่ในจังหวัดภูเก็ต (ประมาณร้อยละ 95) สำหรับการมีตัวกลางประสานงานมีกิจกรรมทางสังคมระหว่างการท่องเที่ยวแบบลองสเตย์นั้นกลุ่มตัวอย่างคนไทยประมาณร้อยละ 57.0 เห็นว่า ควรเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น ที่เกี่ยวข้องและประมาณร้อยละ 23.0 เห็นว่า ควรเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น จากการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและกิจกรรมทางสังคมพบว่า อายุ เพศ กลุ่ม ที่สังกัด ระดับการศึกษา ความถี่ของการจัดกิจกรรม ความแตกต่างของภาษาในการสื่อสาร การแก้ไขปัญหาเรื่องภาษา รูปแบบของที่อยู่อาศัยระหว่างการลองสเตย์ และตัวกลางประสานงานการจัดกิจกรรมทางสังคมร่วมกันนั้นล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมทางสังคมระหว่างผู้สูงอายุคนไทยและผู้สูงอายุคนญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value <0.001 ทุกตัวแปรยกเว้นกลุ่มที่สังกัด p-value เท่ากับ 0.016) ในภาพรวมกลุ่มคนไทยเห็นว่า ควรให้การสนับสนุนกิจกรรมทางสังคมระหว่างการท่องเที่ยวลองสเตย์เพราะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมระหว่างกันหากแต่เสนอแนะให้ศึกษาอำนาจหน้าที่ของ อปท. อย่างละเอียดในการทำหน้าที่ดังกล่าว รวมทั้งแนะนำให้เกณฑ์นักศึกษาไทยผู้มีความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยในจังหวัดมาทำหน้าที่เป็นล่ามอาสาสมัคร
การอภิปรายผลได้กล่าวถึงการดำเนินการท่องเที่ยวซึ่งเกินขีดความสามารถในการรองรับ (Over-carrying capacity) ของการท่องเที่ยวกระแสหลักในจังหวัดภูเก็ต แนวคิดเรื่อง Silver Columbia Plan แนวคิดเรื่องคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ของชาวญี่ปุ่น (lkigai) และการช่วยเหลือสังคมของคนไทย (Generativity) แนวคิดเกี่ยวกับ Successful Ageing ของทฤษฎี Social Engagement Theory แนวคิดการท่องเที่ยวเพื่อสังคม (Social Tourism) รวมทั้งแนวคิดการจัดการท่องเที่ยวจากฐานของชุมชน
กล่าวโดยสรุป การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมร่วมกับคนไทยผู้สูงอายุของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นผู้สูงวัยในจังหวัดภูเก็ตอาจเป็นสิ่งที่สามารถนำไปสู่การวิจัยในอนาคตเรื่องแบบจำลองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินกิจกรรมของผู้สูงอายุทั้งสองฝ่ายร่วมกับภาคีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในรูปแบบของ ‘อาสาสมัครคนท้องถิ่นผู้สูงอายุ’ (Senior volunteers) และพันธมิตรชีวิต (Life alliances) รวมทั้งส่วนประสมใหม่แบบ 2As1C (Access and Accommodation และ Community-based tourism management through senior voluntary activities) ของการท่องเที่ยวลองสเตย์ในจังหวัดภูเก็ต