Abstract:
มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการที่ว่าจ้างด้วยวิธีการเหมาค่าแรงโดยให้ผู้อื่นรับช่วงไปควบคุมดูแลการทำงานและรับผิดชอบการจ่ายค่าจ้างให้ หรือจัดหาลูกจ้างมาทำงานให้แก่ตน โดยมิได้เป็นการประกอบธุรกิจจัดหางาน เป็นนายจ้างของลูกจ้างที่เข้ามาทำงานในสถานประกอบกิจการของตน หากงานนั้นเป็นงานส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการ โดยไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์การตีความ และไม่ได้มีการแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างผู้ประกอบกิจการและผู้รับเหมาค่าแรงที่ชัดเจน จึงทำให้เกิดความสับสนในการบริหารกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย การปฏิบัติตาม และการตีความกฎหมายระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ประกอบกิจการ ผู้เขียนจึงได้ศึกษาถึงขอบเขตความหมายของคำว่า "นายจ้าง" ตามกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ และศึกษาผลของสัญญาทางธุรกิจต่างๆ ในปัจจุบัน พบว่า ผู้ประกอบกิจการที่ว่าจ้างด้วยวิธีการเหมาค่าแรงมีฐานะเป็นนายจ้างของลูกจ้างที่เข้าทำงานในสถานประกอบกิจการของตน โดยมีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่อลูกจ้างดังกล่าว ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ทุกประการ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร การบังคับใช้ การปฏิบัติตาม และการตีความกฎหมายยังคงมีความสับสน เนื่องจากไม่มีหลักเกณฑ์ในการตีความที่ชัดเจน ผู้วิจัยจึงได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลภาคสนามจากนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้รับเหมาค่าแรง และพนักงาน ตรวจแรงงานเกี่ยวกับปัญหาในการจ้างเหมาค่าแรง พบว่า นายจ้างและลูกจ้างส่วนใหญ่ไม่รู้จักการจ้างด้วยวิธีการเหมาค่าแรง ไม่เคยศึกษาหรือรับการฝึกอบรมเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองแรงงานมาก่อน และไม่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแรงงานในเรื่องการว่าจ้างด้วยวิธีการเหมาค่าแรง จึงทำให้ไม่สามารถบังคับใช้มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจ้างเหมาค่าแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผู้เขียนยังพบว่า พระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นยังไม่มีบทบัญญัติที่เป็นการควบคุมการจ้างเหมาค่าแรงและไม่มีการพิจารณาถึงผลกระทบต่อลูกจ้างประจำในระบบการจ้างงานปกติที่อาจเกิดขึ้นจากการจ้างเหมาค่าแรง ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์การตีความมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างเหมาค่าแรงชัดเจน ควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ประกอบกิจการ และศึกษาถึงความเหมาะสมในการออกกฎหมายเพื่อควบคุมการจ้างเหมาค่าแรง หรือให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างประจำในระบบการจ้างงานปกติต่อไปในอนาคต