Abstract:
วิทยุกระจายเสียงเป็นสื่อมวลชนที่มีหน้าที่เช่นเดียวกับสื่อมวลชนอื่นๆ คือ การให้ข่าวสาร ให้ความรู้ ให้ความคิดเห็นและความบันเทิงแก่ประชาชน และปัจจุบันก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า วิทยุกระจายเสียงเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลในการช่วยให้เกิดขบวนการในการพัฒนาประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอย่างมีแบบแผน จึงทำให้เป็นที่สงสัยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสถานีวิทยุกระจายเสียงในประเทศไทย ซึ่งมีอยู่มากมายถึง 200 กว่าสถานี และทุกสถานีเป็นของทางราชการทั้งสิ้นนั้น ได้มีส่วนช่วยเหลือนโยบายการพัฒนาประเทศบ้างหรือไม่ ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้นำแนวความคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของสื่อมวลชนในการพัฒนาประเทศของ Wilbure Schramm มาเป็นแนวทางในการวิจัย โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ .- 1. เพื่อทราบความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงต่อหน้าที่ของสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนาประเทศ 2.เพื่อทราบการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน เพื่อการพัฒนาประเทศของเจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียง 3.เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อหน้าที่ของสื่อมวลชน เพื่อการพัฒนาประเทศกับการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนาประเทศของเจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียง 4.เพื่อทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดเห็นต่อหน้าที่ของสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนาประเทศ การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนาประเทศทัศนคติต่อสื่อมวลชนและค่านิยมสมัยใหม่ของเจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียง 5. เพื่อเป็นข้อเสนอแนะในการปรับปรุงหลักสูตรเจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงของโรงเรียนการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ให้สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาประเทศในส่วนที่ใช้วิทยุกระจายเสียงเพื่อการพัฒนา การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเฉพาะกรณี ดังนั้นประชากรตัวอย่างจึงเน้นเฉพาะเจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงที่ผ่านการอบรมหลักสูตรเจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียง จากโรงเรียนการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่รุ่นที่ 1 ถึงรุ่นที่ 28 โดยการเลือกตัวอย่างตามจุดมุ่งหมาย (purposive sampling) ของการวิจัย โดยถือหลักว่า กลุ่มตัวอย่าง จะต้องเป็นผู้ที่ยังทำหน้าที่จัดรายการวิทยุกระจายเสียงด้วยตนเองโดยตรงในปัจจุบัน หรือผู้ที่แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่ได้ทำหน้าที่จัดรายการวิทยุฯ ด้วยตนเองโดยตรงแล้วก็ตาม แต่ยังคงทำงานเกี่ยวข้องกับงานวิทยุกระจายเสียงเช่นเป็นผู้บริหารสถานีผู้ควบคุมรายการหรือผู้ตรวจสอบรายการเป็นต้น ในการรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล กระทำโดยการคำนวณด้วยเครื่องสมองกลซึ่ง ในการวิจัยนี้สถิติที่ใช้คือ ร้อยละ (Percentage) ไค-สแควร์ (Chi-Square) และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coeficient)ทำให้สรุปผลของการทดสอบสมมุติฐานได้ดังต่อไปนี้
1.เจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงเห็นด้วยกับหน้าที่ของสื่อมวลชนในการพัฒนาประเทศสมมติฐานข้อนี้ได้รับการยืนยัน 2.เจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงได้ปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนเพื่อการพัมนาประเทศสมมติฐานข้อนี้ไม่ได้รับการยืนยัน 3.ไม่มีความแตกต่างระหว่างความคิดเห็นต่อหน้าที่ของสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนาประเทศ กับการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน เพื่อการพัฒนาประเทศของเจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงสมมติฐานข้อนี้ไม่ได้รับการยืนยัน 4.ความคิดเห็นต่อหน้าที่ของสื่อมวลชนเพื่อการพัมนาประเทศการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนาประเทศ ทัศนคติต่อสื่อมวลชนและค่านิยมสมัยใหม่ของเจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียง มีความสัมพันธ์กัน และสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน สมมติฐานข้อนี้ไม่ได้รับการยืนยัน 5.ความมากน้อยของการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนาประเทศของเจ้าหน้าที่ผลิตรายการวิทยุกระจายเสียง ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของเพศ อายุ การศึกษา ประสบการณ์ ระยะเวลาที่จบการอบรม รูปแบบของรายการที่จัดสมมติฐานข้อนี้ไม่ได้รับการยืนยัน จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ให้ข้อเสนอแนะว่า 1.รัฐควรกำหนดนโยบายอย่างชัดแจ้งในการนำวิทยุกระจายเสียงมาใช้เพื่อการพัฒนาประเทศ โดยกำหนดให้สถานีวิทยุทุกแห่งมีรายการข่าวสารความรู้และความบันเทิงในสัดส่วนที่เหมาะสมตามความจำเป็นและตามข้อจำกัดของแต่ละสถานี 2.จัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูล ตลอดจนข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ เพื่อแจกจ่ายให้กับสถานีวิทยุทุกแห่ง เพื่อให้ผู้จัดรายการใช้เป็นข้อมูลในการจัดรายการเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนข้อมูล 3.รัฐควรให้การสนับสนุนแก่โรงเรียนการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ทั้งด้านวัสดุอุปกรณ์ บุคลากรและงบประมาณ เพื่อให้สามารถจัดการฝึกอบรมได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกๆ หลักสูตร