Abstract:
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์นโยบายค่าภาคหลวงแร่ทองคำในประเทศไทยและเพื่อนำเสนอถึงแนวทางในการประเมินมูลค่าผลกระทบภายนอกที่อาจเกิดขึ้นจากกการทำเหมืองแร่ทองคำ ผลการศึกษาพบว่า การเก็บค่าภาคหลวงแร่ทองคำแบบอัตราก้าวหน้าสามารถสะท้อนต้นทุนส่วนเพิ่มของผู้ใช้ (Marginal User Cost: MUC) ได้ดีกว่าอัตราค่าภาคหลวงแร่แบบคงที่ อย่างไรก็ตาม อัตราค่าภาคหลวงแร่ที่ใช้ในปัจจุบันยังไม่สามารถสะท้อนต้นทุนส่วนเพิ่มของผู้ใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จากผลการวิเคราะห์พบว่า การจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่ทองคำด้วยโครงสร้างปัจจุบันส่งผลให้ผู้ประกอบการมีกำไรเกินปกติสูงถึงร้อยละ 46 การศึกษานี้ได้แสดงตัวอย่างการปรับอัตราค่าภาคหลวงแร่ทองคำใหม่โดยเรียกเก็บที่อัตราเฉลี่ยร้อยละ 12 ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีกำไรเกินปกติลดลงเหลือร้อยละ 39 แต่จะสามารถสร้างรายได้เข้าสู่รัฐได้เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมถึงร้อยละ 50 สำหรับแนวทางในการประเมินมูลค่าผลกระทบภายนอกที่อาจเกิดขึ้นจากกการทำเหมืองแร่ทองคำในครั้งนี้จะใช้วิธี Benefit transfer method โดยมูลค่าความเสียหายจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่ทองคำในประเทศไทยจะมีมูลค่าแยกตามประเภทของผลกระทบได้ดังนี้ มูลค่าความเสียหายจากการสูญเสียการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและการเก็บของป่า 1,572.21 บาทต่อไร่ต่อปี มูลค่าไม้และความหลากหลาย 109,494.51 บาทต่อไร่ต่อปี ผลกระทบทางภูมิทัศน์เป็นมูลค่าเท่ากับ 1,744.32 บาทต่อไร่ต่อปี ผลกระทบด้านมลพิษทางดิน 124,177.50 บาท/ไร่ ผลกระทบด้านมลพิษทางน้ำผิวดิน 2,943.34 บาท/ครัวเรือน/ปี ผลกระทบด้านมลพิษทางน้ำใต้ดิน 1,184.51บาท/ครัวเรือน/ปี ผลกระทบด้านมลพิษทางอากาศ 4,062.43 บาท/ครัวเรือน/ปี และผลกระทบด้านมลพิษทางเสียง 408.66 บาท/dBA/ครัวเรือน/ปี ผลการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่า รัฐควรปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าภาคหลวงแร่ทองคำขึ้นใหม่ด้วยการคำนึงถึงมูลค่าของ MUC และโอกาสในการสร้างกำไรของผู้ประกอบการร่วมด้วย อีกทั้ง รัฐยังควรปรับปรุงระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมเหมืองแร่ให้มีความชัดเจน มีระเบียบแบบแผนที่เป็นรูปธรรม และมีการคำนึงถึงมูลค่าความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริง เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการเพิ่มความรับผิดชอบและความเคร่งครัดในการดูแลสิ่งแวดล้อม