Abstract:
บทความนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสาธารณรัฐไครเมีย ดินแดนที่มีภูมิประเทศสวยงาม ภูมิอากาศอบอุ่น เป็นคาบสมุทรที่ยื่นเข้าไปในทะเลดำ ที่มีลักษณะภูมิรัฐศาสตร์ที่เหมาะสมที่จะใช้เป็นท่าเรือในการติดต่อค้าขายกับประเทศที่ตั้งอยู่รายรอบทะเลดำ ตอนต้นของบทความได้ย้อนอดีตความเป็นมาของไครเมียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 เมื่อไครเมียอยู่ภายใต้อาณาจักรออตโตมันและจักรวรรดิรัสเซียจะทำสงครามแย่งชิงมาได้และพัฒนาจนมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองพักตากอากาศของราชวงศ์โรมานอฟและเหล่ามหาเศรษฐีรัสเซียและเมื่อเกิดการปฏิบัติได้มีการต่อสู้แย่งชิงคาบสมุทรไครเมียระหว่างกองทัพแดงของฝ่ายปฏิวัติกับกองทัพรัสเซียขาว ที่พยายามจะใช้ไครเมียเป็นฐานในการทำสงครามกลางเมืองยึดรัสเซียคืนจากกองทัพแดงแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไครเมียได้ถูกกองทัพนาซีเยอรมันยึดครองได้ จนกระทั่งช่วงปลายสงครามกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตจึงยึดคืนมาได้ และพระราชวังลิวาเดียในยัลตาได้ถูกใช้เป็นสถานที่ประชุมผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรจนยัลตาและไครเมียมีชื่อเสียงโด่งดังรู้จักกันทั่วโลก เนื้อหาหลักของบทความในช่วงกลางกล่าวถึงไครเมีย ที่ถูกผู้นำประเทศสหภาพโซเวียตโอนย้ายให้ไปเป็นหน่วยการปกครองที่ขึ้นต่อยูเครน จนกระทั่งเกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองในยูเครนในปลายปี ค.ศ. 2013 ทำให้ไครเมียได้โอกาสที่จะประกาศตนเป็นอิสรภาพและกลับไปอยู่ภายใต้รัสเซียอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2014 แต่ยูเครนได้กล่าวหารัสเซียว่ายึดครองดินแดนของตน ส่งผลเกิคความขัดแย้งระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียกับยูเครน โดยฝ่ายยูเครนมีชาติตะวันตกและสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน ในตอนท้ายของบทความได้กล่าวถึงการลงโทษรัสเซียในกรณีดังกล่าวของสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกาและพันธมิตร อีกทั้งการโต้ตอบของรัสเซียในกรณีนี้