Abstract:
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการควบคุมคุณภาพของเครื่องเอกซเรย์ทั่วไปใน 4 ส่วน (การจัดคอลลิเมเตอร์และลำรังสี, ความคงตัวของกระแสหลอด, การจัดเรียงตัวของกริด และการวัดขนาดของโฟคอลสปอต) ระหว่างการใช้เครื่องอ่านและแปลงสัญญาณภาพเอกซเรย์เป็นดิจิตอล (Computed Radiography; CR) และวิธีฟิล์ม ทำการศึกษาการใช้เครื่อง CR ในการควบคุมคุณภาพเครื่องเอกซเรย์ทั่วไปโดยเปรียบเทียบกับวิธีฟิล์มซึ่งเป็นวิธีมาตรฐาน โดยใช้ผู้วัด 2 คนที่อิสระต่อกันในการวิเคราะห์ผลของการควบคุมคุณภาพของทั้ง 2 วิธี การประเมินผลทางเศรษฐศาสตร์กระทำโดยใช้การวิเคราะห์ต้นทุนที่ต่ำสุด ในมุมมองของให้ผู้บริการ โดยข้อมูลทั้งหมด (การควบคุมคุณภาพ, ต้นทุน) รวบรวมจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ.2550 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 ผลการศึกษา พบว่า ผลของการควบคุมคุณภาพเครื่องเอกซเรย์ทั่วไปโดยวิธี CR และวิธีฟิล์มมีความเทียบเคียงกัน ความสอดคล้องของผู้วิเคราะห์ผลทั้ง 2 คน อยู่ในระดับเกือบสมบูรณ์ ต้นทุนต่อการควบคุมคุณภาพ 1 ครั้งในแต่ละส่วนเมื่อใช้วิธีฟิล์มสูงกว่าเมื่อใช้วิธี CR โดยต้นทุนต่อการควบคุมคุณภาพ 1 ครั้งทั้ง 4 ส่วนสำหรับวิธีฟิล์มและวิธี CR เท่ากับ 851.79 บาท และ 308.74 บาท ตามลำดับ จากการวิเคราะห์ความไว พบว่า เมื่อต้นทุนค่าฟิล์มและต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้น การประหยัดต้นทุนสำหรับการควบคุมคุณภาพทั้ง 4 ส่วนในปี 2552 จะเพิ่มขึ้นเป็น 560.45 บาท และในปี 2556 จะเพิ่มขึ้นเป็น 634.66 บาท อัตราส่วนของปริมาณรังสีระหว่างวิธีฟิล์มที่ใช้ในการควบคุมคุณภาพการจัดตัวของกริดเป็น 2.41 เท่าของวิธี CR โดยการวัดขนาดโฟคอลสปอตขนาดใหญ่ด้วยวิธีฟิล์มมีอัตราส่วนของปริมาณรังสีที่ใช้เมื่อเทียบกับวิธี CR สูงที่สุดเท่ากับ 49.11 เท่า นอกจากนั้นเวลาที่ใช้สำหรับเครื่อง CR ในการควบคุมคุณภาพเครื่องเอกซเรย์ทั่วไปน้อยกว่าวิธีฟิล์ม (p-value < 0.001) จากผลการศึกษาจะเห็นได้ว่าการใช้วิธี CR ในการควบคุมคุณภาพเครื่องเอกซเรย์ทั่วไปทั้ง 4 ส่วน มีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีฟิล์มเป็นอย่างมาก ดังนั้นในโรงพยาบาลที่ได้มีการนำเครื่อง CR มาใช้ในการบันทึกภาพเอกซเรย์ผู้ป่วย ก็จะสามารถนำเครื่อง CR มาประยุกต์ใช้ในการควบคุมคุณภาพเครื่องเอกซเรย์ทั่วไปได้ ทำให้การควบคุมคุณภาพเครื่องเอกซเรย์ทั่วไปสามารถกระทำได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปราศจากการใช้สารเคมีในกระบวนการอ่านข้อมูล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการนำเข้าวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ และประหยัดต้นทุนเป็นอย่างมากอีกด้วย