Abstract:
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มิได้กำหนดผลของสัญญาตั้งครรภ์แทนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเอาไว้เป็นการเฉพาะ ทำให้ต้องพิจารณาว่าผลของสัญญานั้นจะเป็นเช่นไร จากการศึกษาพบว่า หากพิจารณาผลของสัญญาตั้งครรภ์แทนโดยนำเอากฎหมายลักษณะนิติกรรมมาปรับใช้จะพบว่า ไม่สามารถนำเอาหลักลาภมิควรได้มาใช้กับผลในทางสถานะของบุคคลได้ หากนำเอาหลักตามกฎหมายครอบครัวมาใช้จะส่งผลให้หญิงที่ตั้งครรภ์แทนเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กที่เกิดมาจากการตั้งครรภ์แทนนั้น และชายผู้ประสงค์จะมีบุตรก็มิอาจพิสูจน์ความเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายได้แม้ในกรณีที่มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมกับเด็กที่เกิดมาก็ตาม ซึ่งผลดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องกับการคุ้มครองประโยชน์สูงสุดของเด็กอันเป็นจุดประสงค์ในการตราพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 และหากพิจารณาในมุมที่ว่าจะสามารถนำเอาผลตามกฎหมายใดมาปรับใช้แล้วจะเป็นการคุ้มครองประโยชน์สูงสุดของเด็กได้นั้น จะพบว่าหลักประโยชน์สูงสุดของเด็กที่พบในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องอำนาจปกครองบุตรนั้นก็มิสามารถนำมาใช้ได้ เนื่องจากคู่สัญญาผู้ประสงค์จะมีบุตรมิได้มีสถานะเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายที่อาจเข้ามาพิพาทในประเด็นอำนาจปกครองบุตรได้ และก็มิสามารถนำหลักประโยชน์สูงสุดที่บัญญัติไว้กว้าง ๆ ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาปรับใช้กับการกำหนดสถานะของบุคคลในกรณีนี้ได้เช่นกัน จากการศึกษากฎหมายต่างประเทศพบว่า แต่ละประเทศกำหนดผลของการตั้งครรภ์แทนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเอาไว้แตกต่างกัน ในประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐเท็กซัส กำหนดให้ใช้ผลตามหลักกฎหมายครอบครัวทั่วไป แต่ในกฎหมายครอบครัวนั้นมีบทบัญญัติให้ชายสามารถขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงสถานะความเป็นบิดาได้โดยพิสูจน์ความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมกับเด็ก รัฐเวอร์จิเนียร์กำหนดผลไว้ 2 ทาง ทางแรกคือให้ผลเป็นไปตามลำดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่าง ๆ กับเด็ก ในฐานะผู้ให้กำเนิด ผู้มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม และเจตนาทั้งก่อนและหลังเด็กเกิด โดยให้ความสำคัญกับหญิงที่ตั้งครรภ์แทนผู้ให้กำเนิดมาเป็นลำดับแรก ทางที่สองคือให้ศาลสามารถปรับปรุงสัญญาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายนั้นให้ใช้ได้ตามความเท่าที่กฎหมายกำหนด รัฐนิวแฮมป์เชียร์มีกฎเกณฑ์ในเรื่องคำสั่งกำหนดความเป็นบิดามารดาเพื่อก่อตั้งความเป็นบิดามารดาให้แก่คู่สัญญาผู้ประสงค์จะมีบุตร โดยแม้คู่สัญญาไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขอันเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับสัญญาตั้งครรภ์แทนที่กฎหมายกำหนด ศาลก็อาจใช้ดุลพินิจมีคำสั่งกำหนดความเป็นบิดามารดาได้หากพบว่าคู่สัญญาทุกฝ่ายมีเจตนาที่จะเข้าร่วมในสัญญาตั้งครรภ์แทนและหากพบว่าประโยชน์สูงสุดของเด็กจะเกิดขึ้นได้ด้วยการมีคำสั่งก่อตั้งความเป็นบิดามารดาตามนี้เท่านั้น รัฐอิลลินอยส์ให้ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานที่แสดงถึงเจตนาของคู่สัญญาทุกฝ่ายเป็นสำคัญ และมีการกำหนดผลกรณีมีความผิดพลาดทางห้องปฏิบัติการเอาไว้เป็นการเฉพาะ รัฐนิวยอร์ค ไม่ได้กำหนดผลของการไม่ทำตามกฎหมายเอาไว้ เนื่องจากกำหนดไว้ชัดแจ้งว่าการตั้งครรภ์แทนเป็นโมฆะและไม่สามารถบังคับได้ แต่เมื่อมีการตั้งครรภ์แทนเกิดขึ้น ศาลก็มิได้ตัดสินโดยใช้หลักกฎหมายครอบครัวทั่วไปโดยลำพัง ในประเทศสหราชอาณาจักร โดยหลักกำหนดให้การตั้งครรภ์แทนไม่สามารถบังคับได้ แต่หากมีการตั้งครรภ์แทนเกิดขึ้นก็มีคำสั่งกำหนดความเป็นบิดามารดาเป็นเครื่องมือให้คู่สัญญาผู้ประสงค์จะมีบุตรสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อก่อตั้งสถานะความเป็นบิดามารดาของตนได้ หากได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนด อย่างไรก็ดี ในการพิจารณาเพื่อมีคำสั่งกำหนดความเป็นบิดามารดานั้นปัจจัยที่ศาลจะต้องคำนึงถึงมากที่สุดคือสวัสดิภาพในระยะยาวของเด็ก ทำให้แม้ว่าคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งนั้นจะมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ศาลก็อาจมีคำสั่งได้หากเป็นไปเพื่อสวัสดิภาพของเด็กนั่นเอง ผู้เขียนเห็นว่า การจะแก้ไขปัญหาผลของสัญญาตั้งครรภ์แทนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนี้ควรจะมีการบัญญัติผลเอาไว้เป็นกรณีเฉพาะในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 โดยเห็นว่าควรกำหนดให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดความเป็นบิดามารดาเพื่อให้คู่สัญญาผู้ประสงค์จะมีบุตรเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายได้ โดยในการพิจารณานั้นก็ให้ศาลคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญที่สุด และควรกำหนดปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาประโยชน์สูงสุดของเด็กเอาไว้อย่างชัดแจ้งด้วย