Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงกรณีผลของสนธิสัญญาต่อรัฐที่สามกรณีข้อบทในสนธิสัญญาส่งเสริมคุ้มครองการลงทุนว่าด้วยหลักปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง ซึ่งหลักกฎหมายระหว่างประเทศนั้นสนธิสัญญานั้นย่อมมีผลผูกพันแก่รัฐภาคีเท่านั้นตามหลักสัญญาต้องเป็นสัญญา Pacta sunt servanda และสนธิสัญญาย่อมไม่อาจก่อให้เกิดทั้งสิทธิ หรือหน้าที่ใดๆ แก่รัฐที่สามได้ตามหลักบุคคลที่สามไม่มีทั้งสิทธิหรือหน้าที่ใดๆ จากสัญญา Pacta tertiis nec nocent nec prosunt แต่อย่างไรก็ตามในบางกรณีสนธิสัญญาอาจมีผลผูกพันรัฐที่สามได้หากรัฐที่สามนั้นยินยอมโดยอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ได้มีการวางหลักเกณฑ์ดังกล่าวเอาไว้ในเรื่องสนธิสัญญากับรัฐที่สาม มาตรา 34 – 38 โดยจะต้องมีองค์ประกอบ 2 ส่วนสำคัญ คือเจตนาของรัฐภาคีที่จะให้บทบัญญัติในสนธิสัญญาสร้างพันธกรณีหรือให้สิทธิแก่รัฐที่สาม ประกอบกับเจตนายินยอมของรัฐที่สาม แต่สำหรับกรณีข้อบท MFN clause นั้น เมื่อรัฐภาคีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ให้การปฏิบัติที่เป็นคุณกว่าแก่รัฐอื่น รัฐภาคีอีกฝ่ายจะอยู่ในฐานะรัฐที่สามที่สามารถใช้ข้อบท MFN clause ในสนธิสัญญาส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนที่ตนเป็นภาคีเพื่อรับบทบัญญัติที่เป็นคุณกว่าอันเป็นผลของสนธิสัญญาอื่นได้ โดยที่รัฐภาคีแห่งสนธิสัญญานั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะให้บทบัญญัติดังกล่าวมีผลไปยังรัฐที่สามแต่อย่างใด จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า ลักษณะกลไกการทำงานของข้อบท MFN clause นี้เป็นการขัดกับหลักพื้นฐานในเรื่องผลของสนธิสัญญาต่อรัฐที่สามตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 และหลัก Pacta tertiis nec nocent nec prosunt หรือไม่อย่างไร และการที่รัฐที่สามจะอ้างข้อบท MFN clause ในสนธิสัญญาส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนของตนเพื่อนำบทบัญญัติที่เป็นคุณกว่าในสนธิสัญญาอื่นมาใช้นั้นมีขอบเขตแค่ไหนอย่างไร