DSpace Repository

กำลังแรงยึดแบบเฉือนระหว่างเซโรเมอร์กับวัสดุบูรณะฟันเรซิน คอมโพสิตภายหลังการปรับปรุงพื้นผิวด้วยวิธีต่างๆ และเพิ่มการบ่มตัวด้วยความร้อน

Show simple item record

dc.contributor.advisor ปิยะมล อัลบูสทานี
dc.contributor.advisor ศุภบูรณ์ บุรณเวช
dc.contributor.author ธีรชัย ลิมป์ลาวัณย์
dc.contributor.other จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะทันตแพทยศาสตร์
dc.date.accessioned 2008-01-30T04:40:59Z
dc.date.available 2008-01-30T04:40:59Z
dc.date.issued 2545
dc.identifier.isbn 9741714092
dc.identifier.uri http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/5669
dc.description วิทยานิพนธ์ (วท.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545 en
dc.description.abstract การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากำลังแรงยึดแบบเฉือนระหว่างเซโรเมอร์ กับเรซิน คอมโพสิตภายหลังจากการปรับปรุงพื้นผิวในรูปแบบต่างๆ 3 ประเภท คือ การเป่าทราย การใช้กรดกัดพื้นผิวและการเคลือบพื้นผิว และทดสอบการให้ความร้อนภายหลังการยึดด้วยเรซิน คอมโพสิต โดยเตรียม Targis รูปดิสก์ (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 มิลลิเมตร หนา 2 มิลลิเมตร) จำนวน 110 ชิ้น ในตอนที่ 1 ศึกษาการปรับปรุงพื้นผิวในรูปแบบต่างๆ โดยแบ่ง 8 กลุ่ม กลุ่มละ 10 ชิ้น ทำการปรับปรุงพื้นผิว 4 แบบ คือ แบบที่ 1) เป่าทรายด้วยผงอะลูมิเนียม อ็อกไซด์ ขนาดอนุภาค 50 ไมครอน แบบที่ 2) เป่าทรายและกรดฟอสฟอริกร้อยละ 37 โดยน้ำหนัก แบบที่ 3) เป่าทรายและสารซีเลน และแบบที่ 4) เป่าทราย กรดฟอสฟอริกร้อยละ 37 โดยน้ำหนักและสารซีเลน จากนั้นทำการยึดด้วยเรซิน คอมโพสิต โดยที่กลุ่มที่ 1-4 ทำการยึดด้วย Z 250 ในขณะที่กลุ่มที่ 5-8 ทำการยึดด้วย Tetric Ceram จากนั้นทดสอบกำลังแรงยึดแบบเฉือนด้วยเครื่องลอยด์ อินสตรูเมนต์ ความเร็วของหัวทดสอบ 0.75 มิลลิเมตรต่อนาที นำข้อมูลมาทดสอบทางสถิติด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว แล้วทำการเปรียบเทียบเชิงซ้อนแบบทูกีย์ โดยได้ผลการทดลองดังนี้คือ กลุ่มที่ 3 มีค่าเฉลี่ยของกำลังแรงยึดแบบเฉือนมากที่สุด คือ 6.7 +- 1.3 เมกะปาสคาล โดยที่กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 3 และกลุ่มที่ 4 มีค่าเฉลี่ยของกำลังแรงยึดแบบเฉือนไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ตอนที่ 2 ศึกษาผลของกำลังแรงยึดแบบเฉือนเมื่อบ่มด้วยความร้อน โดยสุ่มตัวอย่าง 30 ชิ้น และแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม (กลุ่มที่ 9-11) ทุกกลุ่มทำการปรับปรุงพื้นผิวและยึดด้วยเรซิน คอมโพสิตเหมือนกับกลุ่มที่ 3 จากนั้นบ่มด้วยความร้อนที่อุณหภูมิต่างๆกันเป็นเวลา 2 นาที คือ 41 46 และ 60 องศาเซลเซียสตามลำดับ ทำการทดสอบและวิเคราะห์ทางสถิติเหมือนตอนที่ 1 โดยได้ผลการทดลองดังนี้คือ กลุ่มที่ 11 มีค่าเฉลี่ยของกำลังแรงยึดแบบเฉือนมากที่สุด คือ 11.26 + 1.8 เมกะปาสคาล กลุ่มที่ 9 กลุ่มที่ 10 และกลุ่มที่ 11 มีค่าเฉลี่ยของกำลังแรงยึดแบบเฉือนแตกต่างกับกลุ่มที่ 3 ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 การวิจัยนี้มีข้อแนะนำในการยึด Targis ว่าการปรับสภาพผิวด้วยการเป่าทรายและการทาสารซีเลน เป็นวิธีการที่เหมาะสมและให้ประสิทธิภาพดีที่สุด และเมื่อเพิ่มการบ่มด้วยความร้อนที่อุณหภูมิคงที่ 41 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 นาที ภายหลังจากการยึดจะทำให้ค่าเฉลี่ยของกำลังแรงยึดแบบเฉือนเพิ่มขึ้น en
dc.description.abstractalternative The purpose of this study was to evaluate the shear bond strength (SBS) between Ceromer and resin composite after surface treatments. Generally, these included sandblasting, acid etching and surface coating. Additional heat-cure was applied after bonding. 110 Targis discs (9 mm. in diameter and 2 mm. in thickness) were fabricated. In part I, 8 groups (10 discs/group) were subjected for 4 types of surface treatment : type 1) sandblasting with aluminium oxide particle 50 microns, type 2) sandblasting and 37% phosphoric acid etching, type 3) sandblasting and silane coupling agent application and type 4) sandblasting, 37% phosphoric acid etching and silane coupling agent application. Then, discs were bonded with light-cured resin composite. Group 1 to 4 were bonded with Z 250 while group 5 to 8 were bonded with Tetric Ceram. SBS was evaluated using Lloyd testing instrument (crosshead speed of 0.75 mm./min.) ANOVA and Tukey's statistical analyses were performed. Group 3 had a maximum value in SBS (6.7 + 1.3 Mpa). Group 1,3 and 4 showed no significant difference (p<0.05) in SBS. In part II, 30 Targis discs were devided into 3 groups (Gr 9-11). They were surface treated and bonded as in group 3. Additionally, these were treated by heat-cure for 2 minutes. The tested temperature were 41, 46 and 60 degree Celsius, respectively. Statistical analysis was performed as in part I. Group 11 had shown maximum value in SBS(11.26 + 1.8 Mpa). The values of group 9, 10 and 11 are significantly different from group 3 (p<0.05). These results indicated that sandblasting together with silane coupling agent application was suitable and effective for Targis bond surface treatment, whereas additional heat-cured treatment at 41 degree Celsius for 2 minutes could increase SBS after bonding. en
dc.format.extent 1283737 bytes
dc.format.mimetype application/pdf
dc.language.iso th es
dc.publisher จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย en
dc.relation.uri http://doi.org/10.14457/CU.the.2002.584
dc.rights จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย en
dc.subject เรซินอะคริลิกทางทันตกรรม en
dc.subject ทันตวัสดุ en
dc.title กำลังแรงยึดแบบเฉือนระหว่างเซโรเมอร์กับวัสดุบูรณะฟันเรซิน คอมโพสิตภายหลังการปรับปรุงพื้นผิวด้วยวิธีต่างๆ และเพิ่มการบ่มตัวด้วยความร้อน en
dc.title.alternative Shear bond strength between ceromer and resin composite after various surface treatments and additional heat treatment en
dc.type Thesis es
dc.degree.name วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต es
dc.degree.level ปริญญาโท es
dc.degree.discipline ทันตกรรมประดิษฐ์ es
dc.degree.grantor จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย en
dc.email.advisor ไม่มีข้อมูล
dc.email.advisor ไม่มีข้อมูล
dc.identifier.DOI 10.14457/CU.the.2002.584


Files in this item

This item appears in the following Collection(s)

Show simple item record