Abstract:
วัตถุประสงค์ในการวิจัย : เพื่อเปรียบเทียบผลการรักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินด้วยการรักษา 2 วิธี คือ การฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตบีช่วงคลื่นแคบร่วมกับการใช้ยาเม็ทโทเทร็กเซท และการฉายแสงอัตราไวโอเล็ตบีช่วงคลื่นแคบอย่างเดียวโดยจัดจากจำนวนครั้งในการฉายแสงจนรอยโรคหาย, ระยะสงบของโรคและการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย วิธีการทำวิจัย : ได้ทำการศึกษาในผู้ป่วยทั้งหมด 22 คน ผู้ป่วยได้รับยาเม็ทโทเทร็กเซท หรือยาหลอกสัปดาห์ละ 6 เม็ดนาน 3 สัปดาห์ ตามด้วยการฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตบีช่วงคลื่นแคบ การประเมินผลทำโดยการให้คะแนน PASI score, การถ่ายรูปรอยโรค และการให้ผู้ป่วยทำแบบทดสอบ DLQI ทุก 2 สัปดาห์จนกว่ารอยโรคหาย หลังจากนั้นติดตามการรักษาเดือนละครั้งเป็นเวลา 6 เดือน ผลการวิจัย : จากจำนวนผู้ป่วย 22 คน พบว่ามีผู้ป่วยมาติดตามผลการรักษาจนสิ้นสุดการศึกษาจำนวน 16 คน ค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งที่ใช้ในการฉายแสงจนสิ้นสุดการศึกษาของกลุ่มที่ได้รับการฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตบีช่วงคลื่นแคบร่วมกับการใช้ยาเม็ทโทเทร็กเซทเท่ากับ 13.90 ค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งของกลุ่มที่ได้รับการฉายแสงอัลตร้าไวโลเล็ตบีช่วงคลื่นแคบอย่างเดียวเท่ากับ 50.67 การเปลี่ยนแปลงของความรุนแรงของรอยโรคในผู้ป่วย 2 กลุ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P = 0.017) ค่าเฉลี่ยระยะสงบของโรคของกลุ่มที่ได้รับการฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตบีช่วงคลื่นแคบร่วมกับการใช้ยาเม็ทโทเทริกเซทเท่ากับ 3.80 เดือน ค่าเฉลี่ยระยะสงบของโรคของกลุ่มที่ได้รับการฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตบีช่วงคลื่นแคบอย่างเดียวเท่ากับ 1.00 เดือนซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.019) การเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยก่อนและหลังการรักษาในผู้ป่วย 2 กลุ่มไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.585) สรุปผลการวิจัย : การฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตบีช่วงคลื่นแคบร่วมกับการใช้ยาเน็ทโทเทริกเซทเป็นการรักษาที่ให้ประสิทธิผลดีกว่าการฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตบีช่วงคลื่นแคบเพียงอย่างเดียวในการรักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินชนิด chronic plaque