Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายการสื่อสารรูปแบบข้อความสั้นบนทวิตเตอร์ผ่านผู้มีชื่อเสียง เพื่อสำรวจ
การเปิดรับ และอธิบายอิทธิพลของคุณลักษณะของรูปแบบข้อความสั้นบนทวิตเตอร์ต่อความตั้งใจซื้อของเจเนอเรชันวาย โดยใช้การวิจัยแบผสมผสาน เริ่มจากการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เอกสาร ได้แก่ ทวิตเตอร์ของตราสินค้า 3 ตราสินค้าคือ เอไอเอส
ยูเซอริน เลย์ รวม 296 ทวีต และการวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยการวิจัยเชิงสำรวจ ใช้แบบสอบถามออนไลน์เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน
ผลการวิเคราะห์เอกสารพบว่า การสื่อสารรูปแบบข้อความสั้นบนทวิตเตอร์ผ่านผู้มีชื่อเสียงมี 13 ลักษณะ ได้แก่
คำหรือข้อความที่นิยมบนอินเทอร์เน็ต เน้นความเป็นกันเอง สื่อสารเข้าใจง่าย เจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย กระตุ้นความสนใจ
ใส่แฮชแทค สโลแกนตราสินค้าหรือแคมเปญ การระบุชื่อผลิตภัณฑ์ การระบุชื่อบุคคลที่ผู้มีชื่อเสียงอยู่ในโพสต์นั้น รูปภาพผู้มีชื่อเสียง วีดิโอผู้มีชื่อเสียง ลิงก์เพื่อคลิกไปยังแหล่งข้อมูลของตราสินค้า และการไม่ใช้คำที่ไม่เหมาะสม
การสื่อสารรูปแบบข้อความสั้นบนทวิตเตอร์ผ่านผู้มีชื่อเสียงเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับตราสินค้า เน้นความบันเทิง เนื้อหาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต มีการใช้คุณสมบัติของผู้มีชื่อเสียงในด้านความ
น่าไว้วางใจและความชื่นชอบต่อผู้มีชื่อเสียงมีมากที่สุด รองลงมาคือความเชี่ยวชาญ ตราสินค้ามีการสื่อสารทั้งทางเดียวเพื่อให้ข่าวสารควบคู่กับการสื่อสารมีปฏิสัมพันธ์ผ่านการรีทวีต การกดไลค์ และตอบกลับทวีตต่าง ๆ
ผลการวิจัยเชิงสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีประสบการณ์การใช้ทวิตเตอร์มากกว่า 2 ปี และมีความถี่ในการเปิดรับข่าวสารต่าง ๆ จากทวิตเตอร์ทุกวันแต่จะใช้เพียง 1-2 ชั่วโมง และมีความถี่ของประสบการณ์การอ่านทวิตเตอร์ของตราสินค้าที่ใช้
ผู้มีชื่อเสียงในการนำเสนอเพียงการนำเสนอ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยช่วงเวลาที่พบเห็นอยู่ระหว่าง 17:00 – 21:00 น. นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างพบเห็นคุณลักษณะของการใช้แฮชแทคและการระบุชื่อผลิตภัณฑ์อยู่เป็นประจำ
ผลการทดสอบสมมติฐานสรุปได้ว่า คุณลักษณะของรูปแบบข้อความสั้นบนทวิตเตอร์ผ่านผู้มีชื่อเสียง ด้านความน่าเชื่อถือของผู้มีชื่อเสียง (β = 0.396) ด้านความน่าดึงดูดใจของผู้มีชื่อเสียง (β = 0.252) และด้านความสอดคล้องระหว่าง
ผู้มีชื่อเสียงกับตราสินค้า (β = 0.161) มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อโดยรวมของผู้บริโภคเจเนอเรชันวายทั้ง 3 ตราสินค้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05