Abstract:
ที่มาและเหตุผล: โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคเรื้อรังและพบมากขึ้นในยุคปัจจุบันที่คนไทยอายุยืนยาวขึ้น ยา Donepezil ซึ่งเป็นยากลุ่ม Choline Esterase inhibitor มีหลักฐานว่าช่วยทำให้ความสามารถของสมอง การช่วยเหลือตนเอง และการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ที่เป็นน้อยหรือปานกลางดีขึ้น แต่เนื่องจากยานี้มีราคาแพงและพบว่ามีเพียง 55% ของผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อยา โครงการนี้จึงได้นำการตรวจถ่ายภาพทางรังสีชนิดสเป็คมาใช้เพื่อทำนายการตอบสนองต่อยา donepezil เพื่อคัดเลือกให้ยาแต่เฉพาะผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยา เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศในระบบสาธารณสุข วัตถุประสงค์ เพื่อนำการตรวจถ่ายภาพด้วยเครื่องรังสีแกมม่าชนิดหัววัดหมุนได้รอบตัวสเป็ค (SPECT) โดยการดูเลือดไปเลี้ยงสมองมาใช้เพื่อดูว่าจะสามารถช่วยทำนายการตอบสนองต่อยา Choline Esterase inhibitor (donepezil) ในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้หรือไม่ วิธีการวิจัย คัดเลือกผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไปที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นอัลไซเมอร์ความรุนแรงน้อยถึงปานกลางโดยใช้เกณฑ์วินิจฉัยของ NINCDS/ADRDA สำหรับ probable AD เข้ารับการตรวจถ่ายภาพสมองโดยวิธีสเป็คก่อนให้ยา, หลังให้ยา 4 ชั่วโมง, 15 วันและ 3 เดือน ผู้ป่วยจะได้รับยา donepezil 5 มก. ในเดือนแรกและเพิ่มเป็น 10 มก.ในเดือนที่ 2-6 ผู้ป่วยจะได้รับการทำแบบทดสอบทางจิตเวชเพื่อประเมินการทำงานของสมองในด้านต่าง ๆ ที่ก่อนให้ยาและหลังให้ยาที่ 3 และ 6 เดือน โดยผลการทดสอบทางจิตเวชที่ 6 เดือนจะเป็นตัวบ่งถึงการตอบสนองต่อยา จากนั้นจึงทการแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มที่ตอบสนองและไม่ตอบสนองแล้วจึงนำมาวิเคราะห์ข้อมูลสภาพสเป็คของผู้ป่วยแต่ละกลุ่มว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่และความแตกต่างที่พบได้เร็วที่สุดอยู่ ณ จุดเวลาใด ผลการวิจัย ขณะนี้มีผู้ป่วยเข้าร่วมการวิจัย 19 คน โดยมี 2 คนที่ออกจากการวิจัยก่อนกำหนด มีผู้ป่วยที่ครบกำหนดระยะเวลา 6 เดือนแล้ว 12 รายได้ออกจากการวิจัย 2 ราย เหลือ 10 ราย แบ่งเป็นกลุ่มที่ตอบสนองต่อยา donepezil 8 ราย ไม่ตอบสนอง 2 ราย ผลการวิเคราะห์สเป็คพบว่าที่ 4 ชั่วโมงหลังให้ยา donepezil พบการเพิ่มขึ้นของเลือดมาเลี้ยงสมองบริเวณ parietal lobe ทั้ง 2 ข้างในกลุ่มที่ตอบสนองต่อยา ส่วนกลุ่มที่ไม่ตอบสนอง (2 ราย) ยังไม่สามารถสรุปได้แน่นอน เนื่องจากผู้ป่วยยังมีจำนวนน้อย สรุปผล การเพิ่มขึ้นของเลือดมาเลี้ยงสมองบริเวณ parietal lobe 2 ข้างที่ 4 ชั่วโมงหลังให้ยา ใช้ทำนายการตอบสนองต่อยาได้ ส่วนกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต้องรอเก็บผู้ป่วยให้มากขึ้นจึงสรุปได้