Abstract:
งานวิจัยนี้ทำขึ้นเพื่อศึกษากลวิธีการแปลหน่วยสร้างกริยาเรียง (serial verb construction) จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ เนื่องจากเป็นโครงสร้างที่มีในภาษาต้นทางแต่ไม่มีในภาษาปลายทางจึงมักก่อให้เกิดปัญหาในการแปล การวิจัยใช้ข้อมูลจากต้นฉบับนวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ ที่เขียนโดยศรีบูรพา และฉบับแปลสำนวนของเดวิด สไมท์ และของซูซาน ฟุลอป เคปเนอร์ นำมาศึกษาเปรียบเทียบกัน โดยกำหนดขอบเขตการวิจัยเฉพาะหน่วยสร้างกริยาเรียงประเภทที่แสดงการเกิดต่อเนื่องกันของเหตุการณ์ (sequential) มีจำนวนทั้งสิ้น 137 หน่วยสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลเริ่มจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณเพื่อเปรียบเทียบความเหมือนต่างระหว่างกลวิธีการแปลในบทแปลทั้งสองสำนวน ตามด้วยการวิเคราะห์เชิงคุณภาพเพื่อดูการเกิด translation shift ตามหลักทฤษฎีการแปลเชิงภาษาศาสตร์ (Linguistic Theory of Translation) ของ John C. Catford และการแปลแบบรวบความหมายหรือละกริยาบางคำตามแนวทางการแปลแบบตีความ (Interpretive Approach) ที่เสนอโดย Jean Delisle ประกอบกับแนวทางการวิเคราะห์ตัวบทประเภทนวนิยายของ Jeremy Hawthorn หลังจากได้ผลการวิเคราะห์เชิงทฤษฎีแล้วจึงทำการสัมภาษณ์ผู้แปล ผลการวิเคราะห์เชิงปริมาณสรุปได้ว่าส่วนใหญ่ผู้แปลทั้งสองใช้กลวิธีการแปลต่างกัน ส่วนการวิเคราะห์เชิงคุณภาพแสดงให้เห็นว่าบทแปลที่ปรากฏคำแปลของหน่วยสร้างกริยาเรียงชัดเจนจะเกิด translation shift ขึ้นทั้งหมด โดยประเภทที่เกิดมากที่สุดคือ unit-shift ในลักษณะการแปลกลุ่มคำกริยาเรียงในภาษาไทยเป็นคำกริยาคำเดียวในภาษาอังกฤษ และ class-shift ในลักษณะการเปลี่ยนคำกริยาตัวหลังในหน่วยสร้างจากกริยาแท้เป็นกริยาไม่แท้ เมื่อนำข้อมูลมาสังเคราะห์กับคำตอบที่ได้รับจากการสัมภาษณ์ผู้แปล ได้ข้อสรุปว่าแม้ผู้แปลจะไม่ได้คำนึงถึงทฤษฎีการแปลหรือรูปแบบทางไวยากรณ์ของภาษาต้นทาง แต่ผู้แปลก็ใช้กลวิธี translation shift ตามทฤษฎีการแปลเชิงภาษาศาสตร์ หรือไม่เช่นนั้นก็จะแปลโดยละคำกริยาหรือรวบความหมายของคำกริยาไปกับความหมายของทั้งประโยคตามแนวทางการแปลแบบตีความ นอกจากนี้ ผู้แปลที่เน้นการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเรื่องยังให้ความสำคัญแก่การวิเคราะห์องค์ประกอบทางวรรณกรรมของตัวบทอีกด้วย