Abstract:
งานวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึง กระบวนการสื่อสารเพื่อสร้างภาวะล้มแล้วลุกของพนักงานที่เป็นแม่ในองค์กรไทยเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน โดยอาศัยมุมมองการสื่อสารเชิงระบบนิเวศในองค์กร ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) กับพนักงานหญิงในองค์กรไทยขนาดใหญ่ ประเภทแสวงผลกำไร ระดับปฏิบัติการและบริหาร ซึ่งสมัครใจให้ข้อมูลด้วยตนเอง (Self-report) ว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตนได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันในขณะที่ต้องเลี้ยงดูลูกอายุไม่เกิน 13 ปีไปด้วยอย่างน้อย 1 เหตุการณ์ และในปัจจุบันสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและอารมณ์เชิงลบที่เกิดขึ้นได้แล้ว โดยมีชีวิตส่วนตัวและการทำงานที่ดำเนินต่อไปได้ หรือเข้าสู่สภาวะปกติ) จำนวน 20 คน สุ่มตัวอย่างโดยสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และสมัครใจ (Volunteer Sampling)
ผลการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงฉับพลันระดับมหภาค (Macrodisruptions) ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มตัวอย่างพนักงานที่เป็นแม่ในภาพรวม ได้แก่ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างบางส่วนยังได้รับผลกระทบจากการย้ายแผนกไปทำสายงานที่ไม่มีความรู้มาก่อน การเกิดวิกฤตแบบฉับพลันในองค์กรอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรค การย้ายที่อยู่อาศัย การตั้งครรภ์แบบไม่ได้วางแผนและคนในครอบครัวเกิดความเจ็บป่วย นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงฉับพลันระดับจุลภาค (Microdisruptions) ซึ่งกลุ่มตัวอย่างรับรู้ถึงอุปสรรคจากการเปลี่ยนแปลง 6 มิติ ได้แก่ 1) เวลา 2) ทักษะการทำงาน 3) บทบาทหน้าที่ 4) วิถีการดำเนินชีวิต 5) การเงิน และ 6) สถานที่ และส่งผลกระทบทางลบต่อตนเองทั้งด้านสุขภาพจิตใจและร่างกาย
ในการสื่อสารเพื่อสร้างภาวะล้มแล้วลุก กลุ่มตัวอย่างพนักงานที่เป็นแม่มีการสื่อสารเพื่อสร้างภาวะล้มแล้วลุกในทุกระดับในระบบนิเวศการสื่อสารองค์กร ดังนี้: ในระบบจุลภาค (ได้แก่ การสื่อสารภายในตนเองและระหว่างบุคคล) กลุ่มตัวอย่างสื่อสารภายในตนเอง 3 ระยะ คือ ในระยะที่ 1 มุมมองแรกต่อการเปลี่ยนแปลงมีทั้งบวกและลบ ระยะที่ 2 การสื่อสารภายในบุคคลเพื่อก้าวข้ามความรู้สึกเชิงลบ แบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ ได้แก่ บอกตัวเองให้ 1) คิดหาวิธีแก้ 2) อดทน 3) มองเป็นความท้าทาย 4) มองการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา และระยะที่ 3 การสื่อสารความตั้งใจที่จะกระทำหรือการกระทำเพื่อสร้างภาวะล้มแล้วลุก แบ่งออกเป็น 5 กระบวนการ ได้แก่ 1) การสร้างความปกติใหม่ 2) การรับรู้ความรู้สึกในเชิงลบของตนและพยายามมุ่งความสนใจไปที่การกระทำในเชิงบวก 3) การยึดเหนี่ยวอัตลักษณ์ 4) การสร้างตรรกะเพื่อให้สามารถอดทนได้ในสภาวะนั้น ๆ และ 5) การต่อรองหรือให้ความหมายใหม่กับอัตลักษณ์ของตน ส่วนในการสื่อสารระหว่างบุคคลภายในองค์กร กลุ่มตัวอย่างสื่อสารกับผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือเพื่อนร่วมงาน เพื่อทั้งขอความช่วยเหลือและระบายความรู้สึก สำหรับในระบบจุลภาคสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างสื่อสารภายในแผนก/ฝ่าย รวมถึงกับกลุ่ม/เครือข่ายในองค์กร เพื่อรับฟังและสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ สนับสนุนซึ่งกันและกัน ส่วนการสื่อสารในระบบมหภาค ระหว่างองค์กรกับพนักงาน พบว่า ฝ่ายบริหารจัดการสื่อสารเพื่อให้การสนับสนุนพนักงานแม่เพื่อสร้างภาวะล้มแล้วผ่านการเน้นค่านิยมองค์กรในด้านความเป็นครอบครัว และผ่าน 5 นโยบาย ได้แก่ 1) การสลับไปทำงานแบบ Work from Home 2) การมีสถานที่ดูแลเด็กตอนกลางวัน 3) การปรับเวลาการเข้าทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น 4) ค่ารักษาพยาบาลที่ครอบคลุมสิทธิ์ของลูก และ 5) การไม่ลดเงินเดือนหรือเลิกจ้าง
นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างยังสื่อสารกับบุคคล กลุ่ม เครือข่ายภายนอกองค์กร เพื่อพัฒนาการสร้างภาวะล้มแล้วลุก โดยระดับระหว่างบุคคล ได้แก่ สามี ครอบครัว เพื่อน และบุคคลที่ไว้วางใจ ระดับกลุ่มและเครือข่าย ได้แก่ กลุ่มสมาชิกในครอบครัว เครือข่ายสังคมออนไลน์ และเครือข่ายอัตลักษณ์ร่วมต่างๆ (เช่น กลุ่มที่เป็นแม่เหมือนกัน กลุ่มที่มาจากสถาบันการศึกษาหรือสายอาชีพเดียวกัน) โดยพบการสื่อสาร 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) การรักษาและใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์และเครือข่ายการสื่อสาร และ 2) การสื่อสารในเรื่องของอารมณ์กับเครือข่ายสนับสนุน