Abstract:
การผลิตปลาป่นและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของไทยมีมูลค่าลดลงติดต่อกันหลายปี การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าปลาป่นโดยใช้เป็นแหล่งผลิตเลซิทินที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง จากนั้นนำเลซิทินดังกล่าวไปใช้ในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำวัยอ่อนเพื่อตรวจสอบว่าจะสามารถใช้เพิ่มผลผลิตกุ้งและ/หรือเพิ่มจากสะสมกรดไขมันโอเมก้า 3 ในเนื้อเยื่อกุ้งได้หรือไม่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่กุ้งกุลาดำอีกทางหนึ่ง การศึกษาวิจัยทำโดยเปรียบเทียบผลกับเลซิทินจากถั่วเหลือง การพัฒนาเทคนิคการสกัดเลซิทินจากปลาป่นพบว่าการใช้สารละลายอินทรีย์สามชนิดคือ acetone, n-hexane และ alcohol จะให้ผลต่อการสกัดเลซิทินได้ดี โดยพบว่า methanol สามารถสกัดเลซิทินที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง docosahexaenoic acid (DHA) ได้มากกว่าการใช้ ethanol ปลาป่นไทยเกรด 3 ถูกใช้เป็นตัวแทนของปลาป่นไทยเนื่องจากมีองค์ประกอบของ DHA สูงกว่าปลาป่นเกรด 1, 2 และ 4 การศึกษาพบว่าเลซิทินที่สกัดจากปลาป่นนอกและปลาป่นไทยมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ปริมาณสูงขณะที่เลซิทินสกัดจากถั่วเหลืองมีกรดไขมันโอเมก้า 6 สูง นำเลซิทินจากปลาป่นนอก ปลาป่นไทยและจากถั่วเหลืองผสมลงในอาหารเลี้ยงกุ้งกุลาดำวัยอ่อนให้มีปริมาณเลซิทิน 1.5% เลี้ยงกุ้งด้วยอาหารทั้ง 3 ชนิด เปรียบเทียบผลกับอาหารควบคุมที่ไม่เติมเลซิทิน ผลจากการวิจัยที่ความเค็ม 25 และ 30 ppt กุ้งกลุ่มที่เลี้ยงด้วยอาหารที่เติมเลซิทินจากถั่วเหลืองมีอัตราการเจริญสูงกว่าทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตามที่ความเค็ม 30 ppt กุ้งกลุ่มที่เลี้ยงด้วยอาหารที่เติมเลซิทินจากปลาป่นไทยมีการเจริญเติบโตดีเช่นกัน อัตราการรอดของกุ้งกุลาดำวัยอ่อนไม่มีความแตกต่างกันในกลุ่มที่เลี้ยงด้วยอาหารสูตรต่างๆ แต่พบว่ากุ้งกลุ่มที่ได้รับเลซิทินมีความสามารถทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงความเค็มได้ดีกว่ากุ้งกลุ่มที่ไม่ได้รับเลซิทิน และกุ้งกลุ่มที่เลี้ยงด้วยอาหารที่เติมเลซิทินจากปลาป่นไทยสะสมกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโอเมก้า 3 ไว้ในตัวกุ้งมากที่สุด