Abstract:
กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กที่กระทำความผิดมีจุดมุ่งหมายในการแก้ไขฟื้นฟูให้เด็กที่กระทำความผิดให้กลับตัวเป็นพลเมืองดีเพื่อให้ "เด็กได้รับประโยชน์สูงสุด" มาตรการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายดังกล่าวคือ "การผลักดันเด็กที่กระทำความผิดออกจากกระบวนการยุติธรรมทางศาล" เพื่อป้องกันมิให้เด็กและเยาวชนผู้กระทำความผิดได้รับผลกระทบทางลบจากกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นทางการและต้องถูกตราบาปว่าเป็นอาชญากร หรือมีประวัติว่าถูกศาลพิพากษาว่ากระทำความผิด ประเทศไทยมีมาตรการดังกล่าวบัญญัติอยู่ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 63 ซึ่งให้อำนาจผู้อำนวยการสถานพินิจทำความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่เด็กหรือเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิดที่อาจกลับตัวเป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้องต่อศาลส่งไปให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งไม่ฟ้อง แต่มาตรการดังกล่าวไม่สามารถนำมาใช้ได้ในทางปฏิบัติเนื่องจากความไม่ชัดเจนและความเหมาะสมของ บทบัญญัติกฎหมายซึ่งทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติหลายประการด้วยกัน เช่น "การพิจารณาเลือกสรรตัว เด็กหรือเยาวชน" ผู้อำนวยการสถานพินิจพิจารณาแต่เฉพาะปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้กระทำความผิดแต่เพียงอย่างเดียวไม่พิจารณาปัจจัยอื่นประกอบ ประเด็นเรื่องเด็กหรือเยาวชนผู้กระทำความผิดต้อง "ยินยอมอยู่ใน ความควบคุมในสถานพินิจ" และประเด็นความไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม (Due Process) และขัดกับ รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย 2540 จากการศึกษาวิเคราะห์มาตรการดังกล่าวในต่างประเทศ พบว่าจะต้องกำหนดเงื่อนไขบางประการให้เด็กที่กระทำผิดต้องปฏิบัติตามก่อนที่จะยุติคดีโดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล เงื่อนไขดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายในการแก้ไขฟื้นฟูเด็กที่กระทำผิดและในขณะเดียวกันก็ต้องให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อการการทำของตน โดยการชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำผิด และจะต้องมีมาตรการคุ้มครองสิทธิเด็กที่กระทำผิดตามหลักกระบวนการนิติธรรม (Due Process) เนื่องจากเป็นมาตรการที่ไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาของศาล ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างจากมาตรการของประเทศไทย ซึ่งผู้เขียนได้สรุปผลการวิจัยและเสนอแนะแนวทางที่ควรจะเป็นในการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยดังกล่าว ข้างต้นไว้ด้วยแล้ว