การศึกษาสารประกอบไดเมทิลอีเทอร์เพื่อใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศไทย

Abstract

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นในการนำไดเมทิลอีเทอร์ (DME) มาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในประเทศไทย โดยการศึกษาจะใช้วิธีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกตลอดจนศึกษาปัจจัยด้านระบบการกำหนดราคาโดยการสร้างแบบจำลองราคาก๊าซผสม LPG – DME ตามระบบราคาแบบต่างๆ เพื่อวิเคราะห์หาแนวทางการใช้งานและการกำหนดนโยบายที่เหมาะสม จากผลการศึกษาพบว่าการที่ประเทศไทยดำเนินนโยบายชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยใช้กองทุนน้ำมันมาเป็นระยะเวลานานนั้น ก่อให้เกิดผลกระทบมากมายทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าชดเชยราคาที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์จนก่อให้เกิดภาระหนี้สะสม ทั้งนี้เนื่องจากในทางปฏิบัติก๊าซ LPG สามารถใช้งานได้ในหลายรูปแบบ ภาครัฐจึงไม่สามารถแยกกลุ่มผู้บริโภคและเข้าทำการช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่เดือดร้อนได้ การนำ DME ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับก๊าซ LPG มาใช้งานโดยผสมในก๊าซ LPG ที่อัตราส่วนต่างๆ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยแบ่งกลุ่มผู้บริโภคให้ชัดเจนแล้ว ยังสามารถลดภาระการชดเชยของรัฐลงได้ถึงประมาณ 17,000 ล้านบาทต่อปีอีกด้วย จากการศึกษายังพบว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิต DME ได้เองจากวัตถุดิบภายในประเทศและหากพิจารณานำ DME มาใช้ผสมในก๊าซ LPG ที่สัดส่วน 10-30 % โดยน้ำหนัก จะมีผลทำให้ราคาก๊าซ LPG นำเข้าถูกลงประมาณ 3-6 % เมื่อพิจารณาปัจจัยด้านระบบการกำหนดราคาพบว่าหากใช้ระบบราคาแบบลอยตัว ก๊าซ LPG จะมีราคาประมาณ 34.76 - 36.52 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ระบบราคาแบบถ่วงน้ำหนักจะมีราคาอยู่ที่ 29.35 - 29.97 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจัยด้านระบบการกำหนดราคาจึงมีผลโดยตรงต่อราคาขายปลีก นอกจากนี้เมื่อประยุกต์ใช้รูปแบบการกำหนดราคากับก๊าซผสม LPG – DME พบว่าในระบบราคาแบบลอยตัวหากผสม DME ลงไปที่อัตราส่วน 10-25 % โดยน้ำหนัก จะทำให้ราคาก๊าซผสมลดลงเหลือ 33.20 – 34.14 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่หากใช้ระบบราคาแบบถ่วงน้ำหนักจะทำให้ก๊าซผสมมีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 29.13 – 29.36 บาท การใช้ DME ผสมในก๊าซ LPG ร่วมกับการใช้ระบบราคาแบบถ่วงน้ำหนัก จึงถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการลดปัญหาที่เกิดจากนโยบายการชดเชยราคาก๊าซ LPG อีกทั้งยังสามารถช่วยเหลือผู้บริโภคจากความผันผวนของราคาในตลาดโลกได้อีกด้วย