Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/66157
Title: ผลของการใช้โปรแกรมการจัดการกับอาการด้วยตนเอง ต่ออาการหายใจลำบากของพระภิกษุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
Other Titles: The effect of using self-symptom management program on dyspnea of Buddhist monks with chronic obstructive pulmonary disease
Authors: ไพรวัลย์ โคตรตะ
Advisors: สุรีพร ธนศิลป์
Other author: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะพยาบาลศาสตร์
Advisor's Email: Sureeporn.T@Chula.ac.th
Subjects: ปอดอุดกั้น
ปอด -- โรค
การหายใจลำบาก
การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง
Lungs -- Diseases, Obstructive
Lungs -- Diseases
Dyspnea
Self-care, Health
Issue Date: 2547
Publisher: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบผลของการใช้โปรนกรมการจัดการกับอาการ ต่ออาการหายใจลำบากของพระภิกษุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างคือ พ ระภิกษุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังวัยผู้ใหญ่ อาอุ 35-59ปี ที่มารับการตรวจรักษาที่นผนกผู้ป่วยนอก อายุรกรรม โรงพยาบาลสงฆ์ ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดจำนวน 40 ราย โดยเก็บรวบรวมข้อมูลในกลุ่มควบคุมก่อนจนครบ 20ราย แล้ว จึงเก็บรวบรวมข้อมูลในกลุ่มทดลองอีก 20 ราย โดยใหกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มมีความคลายคลึงกันในเรื่องระดับความรุนแรงของโรค และประเภทของยาที่ได้รับ กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ ในขณะที่กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการจัดการกับอาการด้วยตนเองเป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวัดอาการหายใจลำบาก (Visual Analogue Scale) 2. เครื่องมือดำเนินการทดลอง ประกอบด้วย โปรแกรมการจัดการกับอาการด้วยตนเองที่พัฒนามาจากแนวความคิดในการจัดการกับอาการของ Dodd et al (2001) ซึ่งประกอบด้วย 5 กั้นตอนดังนี้ 1) การประเมินประสบการณ์เกี่ยวกับอาการหายใจลำบาก 2) การให้ความรู้ในการจัดการกับอาการหายใจลำบาก 3) การพัฒนาทักษะในการจัดการกับอาการหายใจลำบาก 4) ผู้ป่วยปฏิบัติการในการจัดการกับอาการหายใจลำบากด้วยตนเองที่วัด และ 5) การประเมินผลในการจัดการกับอาการหายใจลำบาก โดยมีแผนการสอน และคู่มือการจัดการกับอาการหายใจ ลำบากด้วยตนเองเป็นสื่อที่ใช้ในโปรแกรมการจัดการกับอาการด้วยตนเอง 3. เครื่องมือกำกับการทคลอง ได้แก่ ตารางการพัฒนาทักษะในการหายใจโดยการห่อปาก โปรแกรมการจัดการกับอาการด้วยตนเองผ่านการตรวจความตรงตามเนี้อหา (content validity) โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน จากนั้นทำการศึกษานำร่อง (pilot study) เพื่อดูความเหมาะสมของโปรแกรมการจัดการกับอาการ โดยนำโปรแกรมการจัดการด้วยตนเองไปทดลองใช้กับผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีลักษณะคล้ายกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบที ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. อาการหายใจลำบากของกลุ่มทดลองภายหลังได้รับโปรแกรมการจัดการกับอาการด้วยตนเองน้อยกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 (X _ก่อนการทดลอง = 58.0 , X_หลังการทดลอง = 34.8, t = 5.078, P < .05) 2. อาการหายใจลำบากภายหลังเข้าร่วมโครงการของกลุ่มทดลอง น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (X _กลุ่มทดลอง = 34.8, X_กลุ่มควบคุม = 54.05, t = 5.078, P < .05)
Other Abstract: This quasi-experimental research aimed to tested the effect of the Self-Symptom Management Program on Dyspnea of buddhist monks with chronic obstructive pulmonary disease (COPD). The samples were 40 monks with COPD at out patients department, the Prist hospital. The subjects were devided into a control group and an experimental group. The groups were matched in terms of severity and medication. A control group received routine nursing care, while an experimental group received the five weeks Self-Symptom Management Program together with routine nursing care. The program, based on the Symptom Management Model (Dodd et al, 2001), was comprised of five sessions : a) assessment patient’s symptom experience b) knowledge providing c)skill development d) self-symptom management practice at the temple and e) evaluation. Dyspnea Visual Analogue Scale (DVAS) was used to measure dyspnea perception. Data were analyzed using descriptive statistics and t-tests. The major findings were as follows: 1. At the end of the program, the experimental group reported significantly less dyspnea than they did before receving the intervention ((X _pre = 58.0 , X_post = 34.8, t = 5.078, P < .05) 2. The posttest mean score on dyspnea of the experimental group was significantly lower than that of the control group (X_expcrirocal= 34.8, t=2.696, X_ control = 54.05, t= 2.696, p< .05)
Description: วิทยานิพนธ์ (พย.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547
Degree Name: พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level: ปริญญาโท
Degree Discipline: พยาบาลศาสตร์
URI: http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/66157
ISBN: 9741759533
Type: Thesis
Appears in Collections:Nurse - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Paiwan_ko_front_p.pdfหน้าปก บทคัดย่อ และสารบัญ919.33 kBAdobe PDFView/Open
Paiwan_ko_ch1_p.pdfบทที่ 11.25 MBAdobe PDFView/Open
Paiwan_ko_ch2_p.pdfบทที่ 23.51 MBAdobe PDFView/Open
Paiwan_ko_ch3_p.pdfบทที่ 31.65 MBAdobe PDFView/Open
Paiwan_ko_ch4_p.pdfบทที่ 4803.54 kBAdobe PDFView/Open
Paiwan_ko_ch5_p.pdfบทที่ 51.26 MBAdobe PDFView/Open
Paiwan_ko_back_p.pdfรายการอ้างอิง และภาคผนวก1.76 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.