การนำหลักสมคบกันกระทำความผิดมาใช้ในการปราบปรามองค์กรอาชญากรรม : ศึกษาเฉพาะกรณีการแสวงหารายได้และผลประโยชน์จากการค้าประเวณี

Abstract

ปัจจุบันมีการพัฒนาการกระทำความผิดเกี่ยวกับการแสวงหารายได้และผลประโยชน์จากการค้าประเวณีเป็นองค์กรอาชญากรรมมากขึ้น โดยมีรูปแบบและการดำเนินการที่ซับซ้อน มีโครงสร้างในการควบคุมสังการเป็นลำดับชั้น และมีการจัดองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ หัวหน้าองค์กรจะเป็นผู้ทีมอำนาจสูงสุด และจะเป็นผู้ที่วางแผนการณ์ต่าง ๆ ในการกระทำความผิด โดยมิได้เป็นผู้ลงมือกระทำความผิดด้วยตนเอง แต่จะอยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดและแสวงหารายได้และผลประโยชน์จากการค้าประเวณี เพราะ ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ผู้ที่เป็นหัวหน้าองค์กรอาชญากรรม จึงเป็นบุคคลทสำคัญต่อการคงอยู่หรือล้มเลิกขององค์กร อาชญากรรม การปราบปรามจับกุมและดำเนินคดีต่อหัวหน้าองค์กร จึงมีผลต่อการทำลายและล้มเลิกขององค์กรอาชญากรรมได้อย่างมีสัมฤทธิ์ผล การค้าประเวณีมีรูปแบบและการดำเนินการทั้งระบบการค้าประเวณีภายในประเทศและระบบการค้าประเวณีระหว่างประเทศที่ดำเนินโดยองค์กรอาชญากรรม ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิด จากการศึกษาพบว่า มาตรการทางกฎหมายอาญาโดยทั่วไปในเรื่องตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ไม่อาจใช้บังคับต่อการพิสูจน์และดำเนินคดีกับหัวหน้าองค์กรอาชญากรรมได้ฎย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการแสวงหารายได้ และผลประโยชน์จากการค้าประเวณีโดยองค์กรอาชญากรรม จำเป็นที่รัฐต้องสร้างมาตรการที่เหมาะสม เช่น การนำหลักทฤษฎีการสมคบกันกระทำความผิด (Conspiracy) มาบังคับใช้ เพราะเหตุที่ว่าความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดถือว่า การกระทำความผิดเกิดขึ้นในชั้นการตกลงใจ (Resulation) โดยการตกลงกัน (Agreement) ของผู้สมคบกันกระทำความผิด ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการกระทำตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันก็ตาม ประกอบกับความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิด เป็นความผิดที่มิได้ถูกกลืน (merge) ไปกับความผิดสำเร็จที่ได้กระทำความผิด จึงเป็นมาตรการบางกฎหมายที่ใช้บังคับต่อการปราบปรามองค์กร อาชญากรรม และดำเนินคดีพิสูจน์ความผิดของหัวหน้าองค์กรอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธภาพและสัมฤทธิ์ผล