Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพในงานวิจัยทางการศึกษา 2) วิเคราะห์ความเหมาะสมของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพในงานวิจัยทางการศึกษา 3) กำหนดความต้องการจำเป็นด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพในงานวิจัยทางการศึกษา และ 4) พัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุของความต้องการจำเป็นด้านความเหมาะสมของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพทางการศึกษา โดยการสังเคราะห์งานวิจัยทางการศึกษาที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ประชากรงานวิจัยคือ วิทยานิพนธ์ของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2544-2547 จำนวน 124 เล่ม การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบบันทึกข้อมูล แบบประเมินความเหมาะสมของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ และแบบประเมินความต้องการจำเป็นด้านความเหมาะสมของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรม SPSS for Window และการวิเคราะห์โมเดลลิสเรล (LISREL) ผลการวิจัย พบว่า
1. ผลการวิเคราะห์ลักษณะของงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ที่ผลิตโดยนักวิจัยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และเป็นวิทยานิพนธ์ของสาขาวิจัยการศึกษามากที่สุด ส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อการพัฒนาผู้เรียน และเป็นงานวิจัยที่ศึกษาในระดับมัธยมศึกษามากกว่าระดับอื่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรยายกระบวนการมากที่สุด มีการศึกษาทฤษฎีทางด้านจิตวิทยามากที่สุด ส่วนด้านการใช้คอมพิวเตอรืในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพมีเพียงร้อยละ 1.61 และลักษณะการผสมผสานวิทยาการวิจัยในวิทยานิพนธ์ มี 2 แบบ คือ "แบบนำ-แบบรอง" กับ "แบบทวิภาคี" แบบนำ-แบบรองที่ใช้ในงานวิจัย 62 เรื่องโดยมี 58 เรื่องที่ใช้เชิงปริมาณนำ ส่วนอีก 4 เรื่องใช้วิธีเชิงคุณภาพนำ 2. ความเหมาะสมของการวิเคราะห์ข้อมุลเชิงคุณภาพในงานวิจัยทางการศึกษา โดยภาพรวมวิทยานิพนธ์ส่วนใหญ่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี(Mean=39.47) เมื่อพิจารณาความเหมาะสมของขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้านการลดทอนข้อมูล ด้านการแสดงข้อมูล และด้านการสรุปผล/ยืนยันผล มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง(Mean=3.17,2.85 และ 3.33 ตามลำดับ)สำหรับความเหมาะสมของวิธีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิเคราะห์แบบอุปนัย การจำแนกข้อมูล และการวิเคราะห์เนื้อหามีความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง(Mean=2.90,3.23 และ3.17 ตามลำดับ) ส่วนการเปรียบเทียบข้อมูลมีความเหมาะสมอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ (Mean=2.25)3.ความเหมาะสมของขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพมีความต้องการจำเป็นด้านการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าเพื่อยืนยันผลสรุปของการวิจัยมากที่สุด (PNI[Modified]=1.422) ส่วนความเหมาะสมของวิธีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพมีความต้องการจำเป็นด้านการเปรียบเทียบข้อมูลมากที่สุด(PNI[Modified]=1.446)
4. ปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อความต้องการจำเป็นด้านความเหมาะสมของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพในงานวิจัยทางการศึกษาคือ ภูมิหลังของนักวิจัย รองลงมาคือ รูปแบบวิธีวิจัย และลักษณะของรายงานการวิจัย ตามลำดับ โดยโมเดลเชิงสาเหตุของความต้องการจำเป็นด้านความเหมาะสมของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพทางการศึกษาสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (ค่าไค-สแควร์ = 42.76, องศาอิสระ = 45, p=.66 และ GFI=.95) ตัวแปรในโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของความต้องการจำเป็นด้านความเหมาะสมของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพได้ร้อยละ 39