Abstract:
ศึกษาการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 ตัวอย่างประชากร คือ ครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 ในเขตกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถาม และแนวคำถามในการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์เนื้อหาความเชื่อมโยงของกลุ่มข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ การประเมินผลการเรียนรู้ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 ยังไม่เป็นไปตามแนวคิดของการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง ดังต่อไปนี้ 1. การวางแผนการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง พบว่า มีครูวิทยาศาสตร์เพียง 46.46% ที่มีการวางแผนและบันทึกการวางแผนการประเมินผลการเรียนรู้ จากการสนทนากลุ่มพบว่า การวางแผนการประเมินของครูมีลักษณะเป็นข้อตกลงร่วมกันของครูผู้สอนในรายวิชาเดียวกัน เกี่ยวกับรายละเอียดของการให้คะแนน และการกำหนดผลงานของผู้เรียนที่ใช้ในการประเมิน แต่ไม่มีการบันทึก 2. การดำเนินการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง 2.1 ช่วงเวลาในการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงพบว่า มีครูวิทยาศาสตร์ เพียง 53.54% ที่มีการประเมินเมื่อเริ่มต้นการจัดการเรียนการสอนในภาคเรียนใหม่ จากการสนทนากลุ่มพบว่า ครูส่วนใหญ่ขาดการประเมินในช่วงก่อนเรียนเนื่องจากเวลาในการจัดการเรียนการสอนที่จำกัด และเนื้อหาของบทเรียนมีเป็นจำนวนมาก
2.2 วัตถุประสงค์ในการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง พบว่า จากจำนวนครูวิทยาศาสตร์ที่ประเมินก่อนเรียนมีเพียง 33.82% ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความรู้ ทักษะ และเจตคติที่เป็นพื้นฐานในการเรียน ในช่วงระหว่างเรียนและหลังเรียน พบว่า มีครูวิทยาศาสตร์เพียง 12.99% และ 9.45% ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียน ตามลำดับ จากการสนทนากลุ่มพบว่ ครูขาดการประเมินเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียน เนื่องจากจำนวนนักเรียนในแต่ละชั้นมากเกินไป ทำให้การประเมินผู้เรียนเป็นรายบุคคลทำได้อย่างจำกัด อีกทั้งขาดแนวทางการประเมินพัฒนาการของผู้เรียนที่ชัดเจน 2.3 สิ่งที่ครูประเมินผู้เรียนตามสภาพจริงพบว่า จากจำนวนครูวิทยาศาสตร์ที่ประเมินก่อนเรียนพบว่า มีเพียง 57.35% และ 38.97% ที่ประเมินด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ในช่วงระหว่างเรียนและหลังเรียน พบว่า มีครูวิทยาศาสตร์เพียง 49.21% และ 39.37% ที่ประเมินด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นผสม และมีเพียง 36.61% และ 19.69% ที่ประเมินด้านเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ตามลำดับ จากการสนทนากลุ่มพบว่า ครูให้ความสำคัญกับการประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์ลดลง เพราะไม่ได้นำผลมาใช้คิดคะแนนเพื่อตัดสินผลการเรียน ในด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พบว่า ครูขาดการประเมิน เนื่องจากเวลาในการจัดการเรียนการสอนที่จำกัด และเนื้อหาของบทเรียนมีเป็นจำนวนมาก
2.4 วิธีการในการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงพบว่า จากจำนวนครูวิทยาศาสตร์ที่ประเมินก่อนเรียนพบว่า มีเพียง 53.68% ที่ใช้วิธีการสังเกต ในช่วงระหว่างเรียนและหลังเรียนพบว่า มีครูวิทยาศาสตร์เพียง 51.97% และ 34.25% ที่ใช้วิธีการซักถาม หรือสัมภาษณ์ ตามลำดับ จากากรสนทนากลุ่มพบว่า ครูไม่ได้ใช้วิธีการสังเกตและการซักถาม หรือสัมภาษณ์ประเมินผู้เรียน เนื่องจากเวลาในการจัดการเรียนการสอนมีจำกัด 2.5 การนำผลการประเมินไปใช้ตามสภาพจริงพบว่า จากจำนวนครูวิทยาศาสตร์ที่ประเมินก่อนเรียน พบว่ามีเพียง 38.23% ที่นำผลไปใช้เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการ หลังการจัดการเรียนการสอน โดยนำไปใช้เพียงบางครั้ง ในช่วงระหว่างเรียบและหลังเรียน พบว่า มีเพียง 36.22% และ 42.52% ตามลำดับ ที่นำผลการประเมินไปใช้เพื่อชี้แจงและเสนอแนวทางการกำกับดูแล และพัฒนาผู้เรียนให้กับผู้ปกครอง โดยนำไปใช้เพียงบางครั้ง จากการสนทนากลุ่มพบว่า แม้ว่าครูนำผลการประเมินไปใช้เพื่อช่วยเหลือ และกำกับติดตาม การพัฒนาตนเองของผู้เรียน แต่ยังคงจำกัดเพียงแค่การช่วยเหลือ และพัฒนาผู้เรียนกลุ่มที่มีคะแนนต่ำเท่านั้น และเป็นการนำไปใช้เพียงบางครั้ง