Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติทางจิตมิติของแบบวัดสุขภาวะทางจิตสำหรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู (2) เพื่อพัฒนาและตรวจสอบโมเดลพัฒนาการแบบผสมของสุขภาวะทางจิตของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (3) เพื่อศึกษาแบบแผนพัฒนาการสุขภาวะทางจิตของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู และ (4) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อกลุ่มแฝง และพัฒนาการสุขภาวะทางจิตของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักศึกษาครูชั้นปีที่ 5 ที่ออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูครั้งแรกใน ภาคต้น ปีการศึกษา 2554 ได้มาจากการสุ่มแบบสองขั้นตอน มีจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 2,070 คน จากมหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับ และมหาวิทยาลัยราชภัฏจำนวน 18 แห่งทั่วประเทศ เก็บข้อมูลจำนวน 5 ครั้ง ระยะห่างครั้งละประมาณ 2 เดือน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5, 7 และ 9 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นแบบโค้ง การวิเคราะห์โมเดลโค้งพัฒนาการที่มีตัวแปรแฝง และการวิเคราะห์โมเดลพัฒนาการแบบผสม ด้วยโปรแกรม SPSS และ Mplus 7 ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) แบบวัดสุขภาวะทางจิตสำหรับนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู มีคุณภาพทั้งด้านความเที่ยงและความตรงสูง สามารถนำมาใช้ศึกษาเกี่ยวกับสุขภาวะทางจิตของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูได้ 2) โมเดลพัฒนาการแบบผสมของสุขภาวะทางจิตของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูที่มี 2 กลุ่มแฝงมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์มากที่สุด 3) แบบแผนพัฒนาการของทั้ง 2 กลุ่มแฝง มีพัฒนาการไม่เป็นเส้นตรง กลุ่มที่ 1 และ กลุ่มที่ 2 มีค่าเฉลี่ยสถานะเริ่มต้นสุขภาวะทางจิต เท่ากับ 5.026 และ 5.250 ค่าเฉลี่ยอัตราพัฒนาการ เท่ากับ 0.414 และ 0.232 มีน้ำหนักองค์ประกอบอัตราพัฒนาการในการวัดครั้งที่ 1-5 ในรูปคะแนนมาตรฐานของกลุ่มที่ 1 เท่ากับ 0, -0.542, -0.068, 0.223, และ 0.308 ตามลำดับ และกลุ่มที่ 2 เท่ากับ 0, 0.422, 0.430, 0.478, และ 0.572 ตามลำดับ 4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อกลุ่มแฝงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ บุคลิกภาพมิติความไม่มั่นคงทางอารมณ์ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าสถานะเริ่มต้นของสุขภาวะทางจิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มที่ 1 ได้แก่ บุคลิกภาพมิติความไม่มั่นคงทางอารมณ์ และการรับรู้ความสามารถของตนในการปฏิบัติงานครู ในกลุ่มที่ 2 ได้แก่ ตัวแปรกลวิธีการเผชิญปัญหาแบบหลีกหนี บุคลิกภาพมิติความไม่มั่นคงทางอารมณ์ และการรับรู้ความสามารถของตนในการปฏิบัติงานครู ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราพัฒนาการสุขภาวะทางจิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มที่ 1 คือ กลวิธีเผชิญปัญหาแบบแสวงหาการสนับสนุนทางสังคม การสนับสนุนทางสังคมจากครูพี่เลี้ยง และเพื่อนนักศึกษา ในกลุ่มที่ 2 ได้แก่ ตัวแปรกลวิธีการเผชิญปัญหาแบบหลีกหนี บุคลิกภาพมิติความไม่มั่นคงทางอารมณ์ การรับรู้ความสามารถของตนในการปฏิบัติงานครู และการสนับสนุนทางสังคมจากครูพี่เลี้ยง ตัวแปรทำนายในโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนในค่าสถานะเริ่มต้นและอัตราพัฒนาการสุขภาวะ ทางจิตในกลุ่มที่ 1 ได้ร้อยละ 39.7 และ 48.0 ตามลำดับ และในกลุ่มที่ 2 ได้ร้อยละ 60.6 และ 39.5 ตามลำดับ