Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของโรงเรียนกับชุมชน ที่ได้จากการสังเคราะห์งานวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของโรงเรียนกับชุมชนกับคุณลักษณะงานวิจัย และเพื่อเปรียบเทียบผลการสังเคราะห์งานวิจัยเชิงปริมาณที่ใช้การวิเคราะห์อภิมานและการวิเคราะห์กระบวนการทางปัญญาอภิมาน งานวิจัยที่นำมาสังเคราะห์พิมพ์เผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2530 - พ.ศ. 2547 จำนวน 35 เล่ม เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ 11 เล่มและงานวิจัยเชิงปริมาณ 24 เล่ม ฐานข้อมูลของงานวิจัยเชิงคุณภาพประกอบด้วยจำนวนผลของปัจจัยการมีส่วนร่วมจากงานวิจัย 11 เล่ม ซึ่งแยกปัจจัยออกเป็นปัจจัยด้านชุมชน ปัจจัยด้านโรงเรียนและปัจจัยสภาพแวดล้อม สำหรับงานวิจัยเชิงปริมาณประกอบด้วยดัชนีมาตรฐาน 129 ค่า แยกเป็นปัจจัยด้านชุมชน 77 ค่า ปัจจัยด้านโรงเรียน 52 ค่า โดยงานวิจัยเชิงคุณภาพจะใช้การวิเคราะห์กระบวนการทางปัญญาอภิมานซึ่งประยุกต์มาจากวิธีของ Snell และ Marsh สำหรับงานวิจัยเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์อภิมาน และการวิเคราะห์กระบวนการทางปัญญาอภิมาน ผลการวิจัยมีดังต่อไปนี้
1.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของโรงเรียนกับชุมชนจากการวิเคราะห์กระบวนการทางปัญญาอภิมานทั้งงานวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ได้แก่ ปัจจัยด้านโรงเรียน (X² = 12.79, p =.00) ซึ่งประกอบด้วย ปัจจัยการปฏิบัติงานของโรงเรียน (X² = 14.44, p =.00) และปัจจัยผู้บริหาร (X²= 6.37, p =.01) สำหรับปัจจัยด้านชุมชนมีเพียงปัจจัยสภาพทั่วไปของชุมชนเท่านั้น (X²= 4.57, p =.03) ที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของโรงเรียนกับชุมชน สำหรับปัจจัยสภาพแวดล้อมจะพบในงานวิจัยเชิงคุณภาพเท่านั้นแต่ถือว่าไม่เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของโรงเรียนกับชุมชนคุณลักษณะงานวิจัยที่สามารถอธิบายความแตกต่างของผลการสังเคราะห์ได้แก่ ปีที่ผลิต คณะที่ผลิต สาขาที่ผลิต ระดับงานวิจัย สังกัดที่ศึกษา ประเด็นที่ศึกษาและประเภทงานวิจัย 2.การวิเคราะห์อภิมานงานวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า ปัจจัยด้านโรงเรียน (.26) มีความสัมพันธ์กับระดับการมีส่วนร่วมมากกว่าปัจจัยด้านชุมชน (.15) ซึ่งสามารถเรียงลำดับความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ กับระดับการมีส่วนร่วมได้ดังนี้ ผู้บริหาร (.51) ครูผู้สอน (.38) การปฏิบัติงานของโรงเรียน (.31) สภาพทั่วไปของชุมชน (.31) ผู้นำชุมชน (.22) คณะกรรมการสถานศึกษา (.16) คุณลักษณะบุคคลในชุมชน (.09) และลักษณะโรงเรียน (.04) จากการวิเคราะห์ความแปรปรวนและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ พบว่า ตัวแปรคุณลักษณะงานวิจัยสามารถอธิบายความแปรปรวนของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ได้ร้อยละ 62 โดยตัวแปรที่มีอิทธิพลเรียงจากมากไปน้อยได้แก่ การทดสอบนัยสำคัญ (.47) ภูมิภาคที่ศึกษา (.33) ประเด็นการศึกษาบทบาทผู้บริหาร (.29) การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง (.22) และขนาดกลุ่มตัวอย่าง (-.39) 3. ผลการเปรียบเทียบการสังเคราะห์ทั้ง 2 วิธี พบว่า การวิเคราะห์กระบวนการทางปัญญาอภิมานเป็นวิธีที่ง่ายและสามารถสังเคราะห์งานวิจัยได้ทุกประเภทแต่วิธีนี้มีจุดอ่อนที่ ละทิ้งค่าสถิติที่ให้น้ำหนักของตัวแปร ดังนั้นวิธีนี้จึงเหมาะกับงานวิจัยเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ สำหรับการวิเคราะห์อภิมานนั้นให้สาระสนเทศเกี่ยวกับดัชนีมาตรฐาน ดังนั้นงานวิจัยเชิงปริมาณที่เสนอค่าสถิติครบถ้วนจึงควรใช้การวิเคราะห์อภิมาน