Abstract:
การทำวิจัยในชั้นเรียนของครูเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวิชาชีพครู แต่ครูบางส่วนยังมีกรอบคิดทางลบต่อการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยนี้ จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและลักษณะของกรอบคิดติดยึดด้านการวิจัยของครู และตัวแปรในการอธิบายลักษณะของ กรอบคิดติดยึดด้านการวิจัย รวมถึงพัฒนาหลักการออกแบบและต้นแบบการส่งเสริมกรอบคิดทางบวกด้านการวิจัยของครู จากนั้นวิเคราะห์ผล ที่เกิดขึ้นจากการนำต้นแบบ ฯ สู่การปฏิบัติ และนำเสนอหลักการออกแบบใหม่โดยการถอดบทเรียนจากการวิจัย การวิจัยนี้ใช้แนวคิด การวิจัยการออกแบบและการศึกษาประสบการณ์ผู้ใช้ โดยจำแนกขั้นตอนการวิจัยเป็น 3 ระยะ ระยะแรกเป็นการพัฒนาองค์ประกอบและเครื่องมือประเมินกรอบคิดทางบวก แบบประเมินที่สร้างขึ้นมีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับแบบพหุมิติภายในข้อคำถาม (5-point multidimensional-within-item rating scale) และตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือด้านความเที่ยงและความตรงเชิงโครงสร้างโดยใช้ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์โมเดลแข่งขันเพื่อกำหนดโมเดลการวัดที่เหมาะสม ระยะที่สองเป็นการวิเคราะห์ลักษณะของกรอบคิดติดยึด และเปรียบเทียบกรอบคิดของครูที่มีภูมิหลังต่างกันโดยใช้การวิจัยเชิงบรรยายกับตัวอย่างวิจัยซึ่งเป็นครูจำนวน 502 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย สถิติทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวน ระยะที่สามเป็นการพัฒนาหลักการออกแบบและต้นแบบการส่งเสริม กรอบคิดทางบวกด้านการวิจัยตามข้ออ้างเชิงเหตุผล โดยอิงแนวคิด Atomic Habits และอิงข้อมูลจากผลการศึกษาประสบการณ์ผู้ใช้ซึ่งเป็นครูที่คัดเลือกอย่างเจาะจงจำนวน 10 คน ผลการนำต้นแบบการส่งเสริมกรอบคิดทางบวกฯ ไปทดลองใช้กับครูประถมศึกษาจำนวน 3 คน ได้นำมาวิเคราะห์ผลการเปลี่ยนกรอบคิดติดยึดของครู และถอดบทเรียนจากการวิจัยเป็นหลักการออกแบบใหม่สำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมกรอบคิดทางบวกด้านการวิจัยของครู ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. กรอบคิดติดยึดด้านการวิจัยประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่ ความคิดที่มีต่อการวิจัย ความรู้สึกที่มีต่อการวิจัย และพฤติกรรมการวิจัย เนื้อหาสาระในข้อรายการของเครื่องมือประเมินเกี่ยวข้องกับการทำวิจัยในชั้นเรียนตามขั้นตอนการวางแผน/การปฏิบัติ/ การสังเกต/การสะท้อนคิด (PAOR) โดยภาพรวม เครื่องมือประเมินมีความเที่ยงแบบสอดคล้องภายในขององค์ประกอบสามด้านระหว่าง .49 - .74 และมีความตรงเชิงโครงสร้าง (χ2 (30, N=502) = 38.931, p = .127, CFI = .995, TLI = .990, SRMR = .021, RMSEA = .024, AIC = 7913.336, BIC = 8166.452 2. โดยภาพรวม ครูมีกรอบคิดทางบวกด้านการวิจัยในระดับระดับปานกลาง (M = 3.50, SD = 0.36) ครูส่วนใหญ่มีกรอบคิดทางลบด้านการวิจัย (ร้อยละ 66.53) 3. หลักการออกแบบที่ใช้ในการจัดกิจกรรมประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 ประเภท ได้แก่ 1) องค์ประกอบเชิงสาระ ประกอบด้วยหลักการ 3 ประการคือ 1.1) การสร้างความตระหนักด้านการวิจัย 1.2) การชี้แนะผ่านการลงมือปฏิบัติจริง และ 1.3) การส่งเสริม การสะท้อนคิด 2) องค์ประกอบเชิงกระบวนการ มีขั้นตอนการดำเนินงาน 5 ขั้น คือ 2.1) การเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของครู 2.2) การสร้างบรรยากาศในการสนทนาให้ครูกล้าคิด กล้าทำวิจัย 2.3) การสอดแทรกความรู้ในการทำวิจัยแบบแยบยล 2.4) การชี้แนะช่วยเหลือการทำวิจัย หลายรูปแบบ และ 2.5) การส่งเสริมการสะท้อนคิด 4. ครูที่เข้าร่วมกิจกรรมมีกรอบคิดทางบวกสูงขึ้น ผลผลิตสำคัญที่ได้จากการวิจัย คือ 1) ต้นแบบการส่งเสริมกรอบคิดทางบวก ด้านการวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง 2) การยืนยันว่าแนวคิด Atomic Habits สามารถนำมาเป็นข้ออ้างเชิงเหตุผลในการกำหนด หลักการออกแบบได้ และ 3) ข้อมูลจากการวิจัยสามารถนำเสนอหลักการออกแบบใหม่ได้ 12 หลักการย่อย